'การเมือง' ป่วนหนัก ต่างชาติขาย 'หุ้นไทย' ไม่ยั้ง! มิ.ย.67 เดือนเดียว ไหลออกกว่า 3.49 หมื่นล้าน
'การเมือง' ป่วนหนัก ต่างชาติขาย 'หุ้นไทย' ไม่ยั้ง! มิ.ย.67 เดือนเดียว ไหลออกกว่า 3.49 หมื่นล้านขณะที่ช่วงครึ่งปีแรกไหลออกหนักกว่า 1.1 แสนล้านบาท
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดเดือน มิ.ย.2567 ที่ผ่านมา ต่างชาติเทขายติดต่อกันนานที่สุดเป็นประวัติการณ์เพียงเดือนเดียวไหลออกกว่า 34,872 ล้านบาท จากความกังวลการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความั่นใจในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกโฟลว์ไหลออกหนักกว่า 1.1 แสนล้านบาท
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่นักลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยตลาดเดือนมิ.ย. 2567 มาทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งปัจจัยภายนอกมีความผิดหวังในเดือน มิ.ย.2567 ช่วงกลางเดือนมีการประชุมเฟด ซึ่งผลการที่ออกมาค่อนข้างมีนัยสำคัญจากเดิมที่คาดว่าในปีนี้จะลดดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ลดฮวบเดียวเหลือเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น เพราะฉะนั้นความคาดหวังที่นักลงทุนหวังไว้จะมีตัวช่วยในเรื่องของดอกเบี้ยเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/67 จึงทำให้ถูกเลื่อนออกไป
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า บอนด์ยีลด์ หรือดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นมาปรับสูงขึ้น จึงทำให้สภาวะค่าเงินไทยตลอดทั้งเดือน มิ.ย. 2567 ทรงตัวอ่อนค่าตลอดทั้งเดือน แถวบริเวณ 36 บาท/ดอลลาร์ เป็นปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้น
โดยขณะนี้เม็ดเงินทั่วโลกกำลังไหลเข้าสู่ตลาดตราสารเงินของสหรัฐหนักมาก เพราะทุกคนเล็งเห็นว่า เฟดคงจะยังไม่ได้รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด ทำให้เงินมีการเคลื่อนย้ายพุ่งเป้าไปที่มันนี่มาร์เก็ตฟันด์ รวมถึงตราสารเงินฝากของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อต้องการกินดอกเบี้ยส่วนต่างที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก
ส่วนปัจจัยภายในตลอดเดือน มิ.ย. 2567 มีผลกระทบเรื่องของการเมือง ซึ่งสุดท้ายยังคงมีความไม่ชัดเจนออกมา ทั้งประเด็นของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงความเป็นอยู่ของ ครม. ชุดปัจจุบัน อาจจะต้องไปลุ้นผลในช่วงกลางเดือน ก.ค.2567 และการยุบพรรคก้าวไกลที่รอผลให้เดือน ก.ค.2567 เช่นกัน ซึ่งในสภาวะที่ไม่มีความชัดเจนตลาดมักจะไม่ค่อยชอบนัก ทำให้นักลงทุนต่างชาติลดความเสี่ยงลงไป
อย่างไรก็ตาม ไม่นับรวม earning หลังจากที่ตลอดเดือน มิ.ย.2567 ตลาดมีความอ่อนแอของหุ้นไทยเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นความอ่อนแอที่เกินขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งการปรับประมาณการของเรายังคงล้าหลังตลาดหุ้นอื่น ๆ ค่อนข้างมาก ส่งผลให้ลดความน่าสนใจลงไป ทำให้เม็ดเงินพร้อมที่จะมีการโยกย้ายจากประเทศมีความน่าสนใจต่ำไปยังประเทศที่มีความน่าสนใจที่สูงกว่า จึงเป็นแรงซ้ำเติมที่ทำให้ต่างชาติมีการขายสุทธิมาตลอด 20 กว่าวัน
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ต่างชาติมีการเทขายหุ้นไทยออกไปกว่า 1.1 แสนล้านบาท หลักๆ แทบจะเกือบครึ่งหนึ่งใน 1.1 แสนล้านบาท เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ตั้งแต่มีเรื่องการเมืองที่ร้อนแรง โดยในช่วง 26 วันทำการต่างชาติเทขายออกมา 4.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่า ต่างชาติไม่เคยขายตลาดหุ้นนานหนักที่สุดจากข้อมูลสถิติตั้งแต่ตลาดหุ้นที่มีการเปิดเผยข้อมูลในปี 2535 ซึ่งมีการขายออกในอดีตติดต่อกันถึง 27 วันทำการ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นอันดับที่ 2 รองลงมาจากครั้งก่อนหน้า ที่นักลงทุนต่างชาติขายติดต่อกันนานเช่นกัน
ทั้งนี้ ทำให้โฟลว์มีการไหลออก ขณะที่กฎเกณฑ์ Uptick Rule ยังไม่มา ซึ่งจะเริ่มใช้อีกในเดือน ก.ค.2567 จีึงทำให้ต่างชาติมีการ Short Sell อยู่ในระดับที่มากประมาณ 13 - 17% ต่อวัน ถือว่าค่อนข้างเยอะ เนื่องจากค่าเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10 - 11%
“ในช่วง 1 เดือนกว่า ๆ นักลงทุนต่างชาติขายค่อนข้างจะหนักเกือบครึ่งหนึ่งจากครึ่งปีที่มีการขายออกไป ปริมาณการ Short Sell สูงกว่าปกติค่อนข้างที่มาก”
ขณะที่แรงขายออกจากต่างชาติที่เกิดขึ้น มาตรการต่างๆ ที่เฝ้ารออยู่ยังไม่มา หากเริ่มตั้งแต่ต้นปีที่ต่างชาติเทขาย เนื่องจากภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ไตรมาสมาสที่ 4/66 ยังอยู่ในระดับต่ำ จนมาถึงไตรมาส 1/67 จีดีพีก็ยังค่อนข้างต่ำ และอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีการปรับลด ส่วนกำไรไตรมาส 4/66 ออกมาต่ำที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส อยู่ที่ 1.76 แสนล้านบาท ทำให้โฟลว์ไหลออกไปเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นในเดือน เม.ย.2567 ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง และหลังจากนั้นเริ่มมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/67 ที่เริ่มเห็นทิศทางไปในทางที่ดี แต่กลับต้องมาประสบกับการเมืิองที่ร้อนแรงที่ประเดประดังเข้ามา ทำให้ตลาดหุ้นไทยกระทบรอบด้าน อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังว่า นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะเข้ามากระตุ้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติน่าจะชะลอตัว