CPALL ออกหุ้นกู้ใหม่ 4 ชุด อายุ 4-10 ปี ชูเรทติ้งใหม่ระดับ AA- ดอกเบี้ยสูงสุด 3.98%
CPALL ออกหุ้นกู้ขายประชาชนทั่วไป จำนวน 4 ชุด อายุหุ้นกู้ตั้งแต่ 4 ปี 4 วัน ถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.05 – 3.98% ต่อปี โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง ซื้อ 19 – 21 ส.ค.67
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า “ซีพี ออลล์” เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย
- หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.05 – 3.25% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20 – 3.45% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55 – 3.75% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.75 – 3.98% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 19 – 21 สิงหาคม 2567 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมทั้งเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร รวมถึงหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้ มาอยู่ที่ระดับ “AA-” แนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “คงที่” (Stable) จากระดับ “A+” สะท้อนถึงสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีระดับกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ลดลง นอกจากนั้น ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการมีสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ
“ซีพี ออลล์” เป็นที่รู้จักของประชาชนในวงกว้างด้วยแบรนด์ร้าน “เซเว่น อีเลฟเว่น” ผู้ให้บริการความสะดวกกับทุกชุมชน โดยบริษัทฯ ยังคงกลยุทธ์การเป็นจุดหมายปลายทางของอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drink Destination) เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้สโลแกน “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และ “หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย” โดยมีแผนงานที่จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ แบบ O2O เชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ ผ่านบริการ 7-Delivery ส่งตรงถึงบ้าน
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการขยายสาขาและสร้าง “เสน่ห์ร้าน” ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า (Beyond Customer Experience) โดยมุ่งกระจายตัวให้เข้าถึงทุกชุมชน ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวนร้านสาขารวม 14,730 สาขาทั่วประเทศ และยังคงมีการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยวและทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด
โดยบริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดสาขาในประเทศไทยอีกประมาณปีละ 700 สาขา นอกจากนี้ การขยายธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มเติมตามศักยภาพของแต่ละประเทศ