MINT กำไร 6 เดือนแรกพุ่ง 74% โบรกแนะ ‘ซื้อ’ รับครึ่งหลังไฮซีซั่น

MINT กำไร 6 เดือนแรกพุ่ง 74% โบรกแนะ ‘ซื้อ’ รับครึ่งหลังไฮซีซั่น

MINT กำไร 6 เดือนแรกพุ่ง 74% โบรกแนะ ‘ซื้อ’ หลังกำไร ไตรมาส 2/67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์และคาดผลประกอบการแข็งแกร่งในไตรมาส 3/67 รับครึ่งปีหลังไฮซีซั่น

แม้ปรากฎการณ์ แบล็กมันเดย์! หวั่นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ทำตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน รวมทั้งหุ้นไทยด้วย แต่ทว่าหลายธุรกิจในไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม อาหารเครื่องดื่ม ที่ยังมีอนาคตที่น่าจับตา โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ อย่าง “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก กำไรแข็งแกร่ง ส่วนครึ่งหลังคาดจะมีกระแสเงินสดและสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

MINT กำไร 6 เดือนแรกพุ่ง 74% โบรกแนะ ‘ซื้อ’ รับครึ่งหลังไฮซีซั่น

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิจากการดําเนินงานสร้างสถิติใหม่ จำนวน 3,230 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8% โดยมีสาเหตุหลักมาจากความสำเร็จของโรงแรมในทวีปยุโรปและสหรัฐที่เข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว ความต้องการการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจยังคงแข็งแกร่งในส่วนของพอร์ตโฟลิโอธุรกิจโรงแรมทั้งในยุโรปและอเมริกา โดยหากไม่รวมผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2567 จะเติบโตได้กว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมทั้งหมดที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหารเติบโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการด้านการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ยของโรงแรมในทวีปยุโรป ลาตินอเมริกา และประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทได้รับอานิสงส์ในช่วงที่ประเทศไทยมียอดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.1 ล้านคน เดิม 6.4 ล้านคนในไตรมาส 2 ปี 2566 โดยโรงแรมที่บริษัทลงทุนเองมียอดการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการเข้าพักเพิ่มสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 5%

สำหรับแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังยังสดใสทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยโรงแรมยุโรปได้รับประโยชน์จากฤดูกาลท่องเที่ยวที่ยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 3 จากการเดินทางเพื่อพักผ่อนและเพื่อธุรกิจของนักท่องเที่ยวในยุโรป รวมถึงงานสำคัญใหญ่ๆ ระดับโลก ทั้งงานแฟชั่น คอนเสิร์ต งานแสดงสินค้าประจำปี ตลอดจนการแข่งขันกีฬาต่างๆ

ขณะที่ โรงแรมในไทยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เติบโตต่อเนื่อง และการขึ้นราคาของห้องพักจะเป็นแรงผลักดันหลักของการเติบโต ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารโดยเฉพาะในไทยยังมีผลประกอบการที่ดีจากกลยุทธ์การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างความแข็งแกร่งในการมีส่วนร่วมของลูกค้า และการดำเนินงานเป็นเลิศ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร แม้ว่าจะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ เข้ามา แต่ไมเนอร์ยังคงความได้เปรียบเรื่อง scale จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ความหลากหลายของแบรนด์ ที่ส่งผลให้แบรนด์ร้านอาหารของไมเนอร์คงความเป็นผู้นำในตลาด สามารถออกเมนูใหม่ๆ ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า มีราคาที่ดึงดูด และสามารถตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย

โดยจะเห็นได้จาก การสื่อสารการตลาดแบบออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่มากขึ้น การสร้างร้านอาหารในรูปแบบใหม่ที่กลายเป็น

เอกลักษณ์ประจำแต่ละจังหวัด ตลอดจนการคืนกำไรสู่ผู้บริโภคผ่าน loyalty program ซึ่งแม้กระทั่งมีการคืนกำไรสู่ผู้บริโภค แต่ไมเนอร์ยังสามารถเพิ่มอัตราทำกำไรได้ จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ที่ได้ประโยชน์การประหยัดต่อขนาดจากร้านอาหารกว่า 2,600 สาขาทั่วโลก หรือกว่า 1,800 สาขาเฉพาะในไทย ทำให้กำไรธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้น 36% ในไตรมาส 2 ปี 2567

จากมาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของหลายๆ ประเทศ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตตามแผนกลยุทธ์สามปี นั่นก็คือ รายได้เติบโตในอัตรา 8-10% ต่อปี และกำไรเติบโต 15-20% ต่อปี โดยในครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรเพิ่มขึ้น 74%

ขณะที่ บล.กรุงศรี ยังคงแนะนำซื้อ มูลค่าเหมาะสมที่ 42 บาท จากกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2567 สูงสุดเป็นประวัติการณ์และคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 ปี 2567 ตลอดจนมูลค่าหุ้นที่ถูกต่ำกว่ากลุ่ม