‘กลุ่ม รพ.’ จ่อรับตะวันออกกลางพุ่ง THG ชี้คนไข้ต่างชาติ หนุนรายได้โตทะลุ 10%

จากกรณีที่รัฐบาลประเทศคูเวต จะสรุปรายชื่อโรงพยาบาลในไทยที่ประชาชนสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ในไตรมาส 3 ปี 2567 คาดว่าโรงพยาบาลเอกชนไทยจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าว โดยคาดจะมีสัดส่วนของคนไข้ต่างชาติตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น และถ้ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียทำข้อตกลงกับรัฐบาลไทยโดยเลือกเมืองไทยเป็นเป้าหมายของ medical travel จะยิ่งทำให้คนไข้ต่างชาติตะวันออกกลางเพิ่มมากขึ้นไปอีก ซึ่งถือเป็นประเด็นบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล 

นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งและหุ้นใหญ่ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยปี 2567 ยังมีทิศทางการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากประชาชนต้องรักษาตัวเองหากเจ็บป่วย ส่วนของรพ.ธนบุรีฯ คาดปีนี้รายได้เติบโตมากกว่า 10% จากปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,844 ล้านบาท กำไรสุทธิ 393 ล้านบาท เนื่องจากโครงการศูนย์ดูแลสุขภาพ หรือเวลเนส เซ็นเตอร์ ที่บริษัทลงทุนไปก่อนหน้านี้เริ่มมีผลดำเนินงานเป็นกำไรแล้ว หลังจากที่ผ่านมาผลดำเนินงานขาดทุน 

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ยังมาจากคนไข้ต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ หลังจากคนไข้ไทยกำลังซื้อลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ขณะเดียวกันต้องหาวิธีขยายตลาดใหม่ๆ นอกเหนือการรักษาโรคแบบเดิมใน รพ. ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่อง เวลเนส เซ็นเตอร์ ที่กำลังเติบโต และการดูแลผู้สูงอายุที่สอดคล้องบริบทของประเทศไทย 

ดังจะเห็นได้ว่าเทรนด์ลงทุนของ รพ.เอกชนไทย ปัจจุบันตั้งอยู่บน 4 ทิศทาง คือ 1.ลงทุนรองรับผู้ป่วยต่างชาติ 2.ลงทุนเพื่อรองรับสังคมสูงวัย 3.ลงทุนศูนย์แพทย์เพื่อรักษาโรคยาก และโรคเฉพาะทาง และ 4.ลงทุนด้านเวชศาสตร์ป้องกัน

นางสาวปิยะฉัตร รัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า คาดว่าแนวโน้มธุรกิจ รพ. ครึ่งปีหลังจะขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายได้จากคนไข้ซาอุดีอาระเบียถือเป็นตลาดใหม่ จากเดิมสัดส่วนรายได้จากซาอุฯ ของแต่ละโรงพยาบาลไม่มาก (ไม่มีการเปิดเผยข้อมูล แต่คาดว่าไม่น่าเกิน 1%)

ถ้าเรียงลำดับ โรงพยาบาลที่มีการรักษาคนไข้ตะวันออกกลางมาก ก็น่าจะมีโอกาสมากที่จะได้คนไข้ซาอุฯ ได้แก่  BH (18%), BCH (8%), CHG (2%), BDMS (1%) และ PR9 กำลังเริ่มขยายตลาดคนไข้ตะวันออกกลาง

ขณะที่กำหนดเวลาที่รัฐบาลคูเวตจะสรุปรายชื่อ โรงพยาบาลในไทย ที่จะส่งคนไข้มารักษา ยังไม่ชัดเจน เดิม BH ,BCH คาดว่าน่าจะเห็นใน ไตรมาส 2 นี้ แต่ตอนนี้ขยับมาไตรมาส 3 นี้ ดังนั้น คาดรายได้น่าจะเริ่มกลับเข้ามาในปี 2568

 

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนคูเวตหยุดส่งคนไข้ภายใต้การสนับสนุนการเงินจากรัฐบาล รายได้คนไข้คูเวตมีสัดส่วน ประมาณ 6-7% ของรายได้รวมของ BH BCH และประมาณ 1-2% ของ BDMS หลังหยุดส่งรายได้เหลือครึ่งเดียว คนไข้คูเวตที่มาปัจจุบันคือจ่ายเงินเอง ดังนั้น ถ้าคนไข้คูเวตแบบรัฐสนับสนุนกลับมา จะเพิ่มรายได้ให้ BH BCH ประมาณ 3-3.5% และ 0.5-1% ของ BDMS

อย่างไรก็ตาม สำหรับ BCH รักษาคนไข้ตะวันออกกลางด้วยโรคหลักคือ การรักษาแผลเบาหวานที่เท้า ขณะที่ BH และ BDMS จะรักษาโรคซับซ้อนที่หลากหลายกว่า ส่วน PR9 เพิ่งเริ่มต้น แต่ก็มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากรักษาโรคซับซ้อนได้ และราคาไม่แพงเท่า BH BDMS 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมองหุ้น top pick กลุ่มโรงพยาบาลคือ PR9 (ราคาเป้าหมาย 21.6 บาท) เนื่องจากรายได้มีการเติบโตต่อเนื่องจากการประสบความสำเร็จในการทำการตลาด สร้างการรับรู้แบรนด์ มีการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scales) และโอกาสเติบโตใหม่จากการหันมาจับตลาดคนไข้ตะวันออกกลาง ไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเตียงในการรักษาใน 2-3 ปีข้างหน้า

บล.กรุงศรี ระบุว่า คาดแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2567 กำไรปกติเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนลูกค้าต่างชาติในตะวันออกกลาง และคูเวตยัง overhang รอประกาศรายชื่อโรงพยาบาลผ่านเกณฑ์รัฐ หากผ่านเกณฑ์รัฐสวัสดิการคูเวต โดยมองว่าจะชัดเจนไตรมาส 3 ปี 2567 รวมทั้งจะมีปัจจัยบวกฤดูกาลหนุนการใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งลูกค้าชาวไทย และต่างชาติในครึ่งหลังของปี

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Head of Global Investment Strategy บล.ฟินันเซีย ไซรัส  กล่าวว่า คนไข้คูเวตกลับมาไทย หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รับประโยชน์คือ BH, BCH ครับ สัดส่วน 7% และ 6% ตามลำดับ

ในส่วนคนไข้ซาอุฯ มาไทย นับเป็นตลาดใหม่ที่ดีต่อ โรงพยาบาลที่พยายามจับกลุ่ม Middle East (ME)ทั้ง BH, BCH, BDMS และ PR9   

หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลแนะนำ "BH" ได้ประโยชน์จากคนไข้ทั้งสองกลุ่ม คือ คูเวตกับซาอุฯ ที่จะกลับมาไทย  และ  "PR9"  จะมีอัพไซด์มากที่สุด จากการขยายตลาดใหม่เป็น new S-curve

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์