"วายุภักษ์" หนุนหุ้นฟื้น 90 จุด ทุก 1 แสนล้าน เก็งตัว 3 เด่น GULF - ADVANC - BCP

ในที่สุด "กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง" ก็จวนถึงเวลาออกมาช่วยขับเคลื่อนความหวังภาคตลาดทุนไทยแล้ว ซึ่งในวันที่ 13 ส.ค. 2567 ภาครัฐบาลรวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนไทยที่สำคัญได้แก่ กระทรวงการคลัง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) จะร่วมกันแถลงเดินหน้าเตรียมการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. เพิ่มทางเลือกการออม

นับเป็นปัจจัยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกชัดเจน อันอาจพอบรรเทาประเด็นกดดันต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย คดีคุณสมบัตินายกฯเศรษฐา ทวีสิน 14 ส.ค. 2567 นี้
 

ข้อมูลโดยคร่าว “กองทุนรวมวายุภักษ์” จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2546 ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง ด้วยเงินทุนเริ่มต้น 5 แสนล้านบาท มีวัตถุประสงค์หลักได้แก่

1.บริหารจัดการหลักทรัพย์ที่รัฐถือครองอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาวและมั่นคง

2. ลงทุนในกิจการที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในเชิงเศรษฐกิจ และต้องการส่งเสริมจากภาครัฐเพื่อลดภาระของรัฐในการจัดสรรเงินงบประมาณ 

3.ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ และเพิ่มทางเลือกในการออมและการลงทุนให้แก่ประชาชน
 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีกระทรวงการคลังเตรียมฟื้น "กองทุนรวมวายุภักษ์" โดยจุดเด่นเป็นกองทุนการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% คาดระดมทุนขั้นต่ำ 1 แสนล้านบาท เริ่มได้ในไตรมาส 3/2567 ถึงต้นไตรมาส 4/2567

ในเบื้องต้นประเมินว่าเงินใหม่ 1 แสนล้าน จะเข้าหุ้นประมาณ 9 หมื่นล้าน หรือประมาณ 90% ของพอร์ต (อิงจากกองวายุภักษ์ในอดีต เฉลี่ยช่วงปี 2546-2556) และคาดจะเข้าภายใน 1-2 เดือน ประเมิน Upside ต่อ SET Index ราว 90 จุด

สำหรับหุ้นที่คาดจะเป็นเป้าหมายของกองทุน หากอิงจากอดีต สัดส่วนการลงทุนจะเน้น 2 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มรัฐวิสาหกิจ

2. กลุ่มธุรกิจจำเป็น (Essential Services) หรือ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เช่น กลุ่มพลังงาน, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มขนส่ง, กลุ่มไอซีที และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ถ้ามีเงินใหม่เข้ามามองว่าจะไปเติมหุ้นตัวที่มีอยู่แล้วในพอร์ต ได้แก่ กลุ่มพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) , กลุ่มธนาคาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) , ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) , กลุ่มขนส่ง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) , กลุ่มไอซีที บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) , กลุ่มโรงไฟฟ้า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC)

และ Top Picks จากที่เลือกมา ได้แก่ ADVANC (Synergy จาก GULF-INTUCH) , GULF (New growth opportunities จากทั้งธุรกิจไฟฟ้า สื่อสาร และ BCP (Trading opportunity จาก US driving season + Hurricane season)

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยสอดคล้องกันว่า การผลักดันกองทุนรวมวายุภักษ์จะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นไทยได้ อีกทั้งตัวกองทุนเองก็มีความน่าสนใจกว่า กองทุน Thai ESG ในแง่ผลตอบแทนด้วย

ทั้งนี้ กองทุนรวมวายุภักษ์มีนโยบายเข้าลงทุนหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีในกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์

ดังนั้นเงินลงทุนที่เข้ามาย่อมส่งผลดีให้หุ้นไทยในภาพรวมที่กำลังเป็นขาลงมีโอกาสเห็นการหยุดแรงขายได้

สถิติในอดีตเงินที่เข้ามาเพิ่มทุก 1 หมื่นล้านบาทสามารถช่วยพยุง SET Index ราว 18-20 จุด

และหุ้นรายตัวที่จะได้รับผลบวกได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) , ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) , บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) , ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) , บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) , บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) , บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) เป็นต้น

อย่างไรก็ตามประเมินผลดีของกองทุนนี้ต่อ SET Index อาจไม่เต็มที่เท่าในอดีตเพราะทางเลือกของนักลงทุนในประเทศปัจจุบันมีมากขึ้น เช่นการลงทุนในต่างประเทศ อีกทั้งผลตอบแทนของตัวกองทุนยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจให้ผลตอบแทนปันผลน้อยลง