"บางกอก แอสเซท" คาดขาย IPO ต้นปี 68 ขยายฐานตลาดบ้านมือสองตกแต่งใหม่

"บางกอก แอสเซท" คาดขาย IPO ต้นปี 68 ขยายฐานตลาดบ้านมือสองตกแต่งใหม่

"บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป" อยู่ระหว่างกำหนดช่วงเวลาไอพีโอเข้า mai เสนอขาย 60 ล้านหุ้น เบื้องต้นคาดเป็นต้นปี 68 ระดมทุนพัฒนา Platform, คืนหนี้ และใช้เป็นทุนหมุนเวียน เผยกลยุทธ์ขยับฐานตลาดไปยังบ้าน 5 ล้านขึ้นไป เลี่ยงผลกระทบแบงก์เข้มอนุมัติสินเชื่อบ้านต่ำ 3 ล้าน

นายพชร ธนวงศ์เกษม กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (BKA) ผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่เพื่อขาย เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณากำหนดช่วงเวลาเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยความคืบหน้าล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2567 ซึ่งมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดจะเข้าตลาดหุ้นช่วงต้นปี 2568 ซึ่งการตัดสินใจขึ้นอยู่กับบรรยากาศตลาดหุ้นไทยรวมถึงสภาวการณ์ทางการเมืองด้วย โดยจำนวนหุ้นที่เสนอขาย IPO เท่ากับ 60 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น
 

บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายการเติบโต จัดสรรการใช้เงินดังนี้ เงินจำนวน 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาธุรกิจ Property Technology สร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์, เงินจำนวน 69 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม และเงินจำนวนที่เหลือเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจ

ขณะที่ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองปีนี้คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยระดับราคาบ้านที่บริษัทเน้นเพิ่มตลาดคือระดับราคา 5 ล้านบาทต่อหลังขึ้นไปเพื่อทดแทนบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทซึ่งสถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าอดีต

อีกทั้งคาดหวังผลดีการลดค่าธรรมเนียมโอน และหากมีการลดดอกเบี้ย รวมถึงปลดล็อก LTV (Loan to Value) จะยิ่งช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้ลูกค้า
 

ณ สิ้นปี 2566 "บางกอก แอสเซท” ขายบ้านมือสองได้ทั้งสิ้น 393 หลัง เป็นรายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 1,313.59 ล้านบาท สัดส่วนรายได้แบ่งเป็น 1. ธุรกิจบ้านแต่ง (รับฝากขาย โดยให้บริษัทปรับปรุงซ่อมแซม) 80% 2.ธุรกิจบ้านตัด (ซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย) 17-18% และ 3. ธุรกิจบ้านฝากขาย (ขายตามสภาพเดิม) 1-2% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 22.27 ล้านบาท

และอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญเป็นดังนี้ ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) เท่ากับ 8.30% หนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) 1.38 เท่า

ด้านนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอยู่ที่ ไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และในข้อบังคับของบริษัท