SCI เจรจายืดหนี้ 380 ล้านใน บ.ย่อยที่เมียนมา กับ "เอ็กซิมแบงก์" สำเร็จ

SCI เจรจายืดหนี้ 380 ล้านใน บ.ย่อยที่เมียนมา กับ "เอ็กซิมแบงก์" สำเร็จ

"เอสซีไอ อีเลคตริค" แก้ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทย่อยที่เมียนมากับ "เอ็กซิมแบงก์" แล้ว โดยตกลงยืดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยค้างรวมราว 380 ล้านบาท เป็นปี 2575 รวมถึงลดดอกเบี้ยค้าง 92 ล้านบาท พร้อมปรับอัตราดอกเบี้ยจาก SOFR บวก 4% ต่อปี แก้ไขเป็น Prime Rate ลบ 1.75% ต่อปี

นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีไอ อีเลคตริค จำกัด (มหาชน) (SCI) แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทย่อยแก้ไขปัญหาการผิดนัดชำระหนี้สถาบันการเงินแล้ว

สืบเนื่องจากบริษัท เอสซีไอ เมทัล เทค จำกัด (เมียนมาร์) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCI ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 96.19 ของหุ้นทั้งหมด ได้ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่างบริษัทย่อย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 23 กันยายน 2559 และที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีบริษัทเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2567 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ค้างชำระของบริษัทย่อยโดยตกลงให้บริษัทในฐานะผู้ค้ำประกันเข้าทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่ 5 (Fith Amendment Agreement to the Facillity Agreement) Lat เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับบริษัทย่อยและธนาคาร (สัญญาแก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงิน
 

ดยในการเข้าทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังนี้ส่งผลให้มีการขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้และละดอกเบี้ยออกไป รวมถึงลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากเดิม

นอกจากนี้ บริษัทจะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน 92,934,687.44 บาท หรือเท่ากับ 2,733,373.16 ดอลลาร์สหรัฐ หากบริษัทชำระหนี้คงค้างครบถ้วน จะไม่มีเหตุผิดนัดชำระตามที่ได้ระบุในสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมและเอกสารอื่นฯ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้การเข้าทำสัญญาดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับฐานะทางการเงินของบริษัทและบริษัทย่อยอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทยังมีสภาพคล่องทางเงินสดคงเหลือเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม
 

สำหรับร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่สำคัญ ได้แก่

มูลหนี้คงค้างตามสัญญากู้ยืมเงิน ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2567 แบ่งเป็น เงินกู้ยืมระยะยาวคงค้างจำนวน 287,739,212.39 บาท หรือเท่ากับ 10,774,815.69
ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากหักเงินฝากค้ำประกันกันจำนวน 78,604,521.07 บาท

และดอกเบี้ยค้างจ่ายจำนวน 92,934,687.44 บาท หรือเท่ากับ 2,733,373.16 ดอลลาร์สหรัฐ (อิงอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ)

อัตราดอกเบี้ยเดิมคือ SOFR บวกร้อยละ 4 ต่อปี แก้ไขเป็น Prime Rate ลบร้อยละ 1.75 ต่อปี

โดยขยายระยะเวลาการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนสิงหาคม 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2569 โดยลูกหนี้และผู้ค้ำประกันตกลงจะชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวภายในวันทำการสุดท้ายของธนาคารในเดือนกรกฎาคม 2575

ส่วนดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระในเดือนมกราคม 2570 เป็นต้นไปลูกหนี้และผู้ค้ำประกันตกลงจะชำระดอกเบี้ยดังกล่าวพร้อมการชำระคืนเงินต้นในแต่ละงวด