Is 2024 a remake of 2007?
เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนกันยายนปีนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบและตั้งคำถามโดยนักลงทุนอย่างมากเนื่องจากในท้ายที่สุดแล้วตลาดหุ้นภายหลังจากการทำจุดสูงสุดในช่วงเดือนตุลาคมในปี 2007 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงเข้าสู่ภาวะตลาดหมี โดยปรับตัวลดลงถึง 57% และทำจุดต่ำสุดในช่วงปี 2009
ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดการปรับฐานอย่างรวดเร็วซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า ปัจจัยมาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดการถดถอยหลังตัวเลขการจ้างงานออกมาไม่ดีโดยอัตราการว่างงานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 4.3% ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิตทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าเฟดจะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วหรือมากกว่าที่คาดการณ์ รวมไปถึงการส่งสัญญานของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อหลังจากที่มีการปรับขึ้นครั้งในการประชุมเดือนกรกฎาคมทำให้เกิดภาพของการปิดสถานะ (unwind)
การทำ Carry trade กล่าวคือ การปิดสถานะการกู้ยืมเงินเยนที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้เพราะในอดีตค่าเงินเยนของญี่ปุ่นนั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจึงมักถูกกู้ยืมแล้วแลกเปลี่ยนไปเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าและรวมไปถึงอาจจะนำไปลงทุนในตลาดหุ้นด้วย ผลที่เกิดขึ้นทำให้ดัชนีที่วัดความผันผวนของตลาดนั้นปรับตัวสูงขึ้นไปที่ระดับ 66% ในวันที่ 5 สิงหาคม เป็นระดับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงของวิกฤตการเงินปี 2008 และ Covid-19 ในปี 2020 ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับฐานทำจุดต่ำสุดในรอบนี้เช่นกันก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมา 7.8% ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมก่อนที่จะมีการปรับฐานในเดือนที่แล้ว
ในประเด็นด้าน Carry trade เรามองว่าเป็นเรื่องทางเทคนิคมากกว่าเป็นเรื่องทางปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนี้เมื่อมองการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นยังคงคาดการณ์ว่าจะหดตัว 0.5% ในปีนี้ก่อนที่จะกลับมาขยายตัว 1.2% ในปีหน้า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อล่าสุดเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 2.2% ทำให้เราคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ได้มีความจำเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากไปกว่าในระดับปัจจุบันมากนัก
ขณะที่ ในฝั่งสหรัฐฯ แม้จะมีการคาดการณ์เพิ่มมากขึ้นว่าเฟดจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1% ในปีนี้ (ในบางช่วงตลาดคาดไปถึง 1.25%) ในมุมมองของเรายังคงคาดว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยมองว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ไปทุกการการประชุมที่เหลือ 3 ครั้งในปีนี้ (รวม 0.75%) โดยเริ่มต้นจากเดือนกันยายนนี้ ดังนั้นเมื่อพิจารณาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินเยนและดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ยังคงกว้างถึง 4% น่าจะทำให้ตลาดเริ่มกลับมาสนใจเรื่องการทำ Carry trade ทำให้เรายังคงมุมมองว่าค่าเงินเยนมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าได้อีกครั้ง และยังคงมุมมองบวกของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเนื่องจากปัจจัยด้านพื้นฐานนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
อีกประเด็นที่น่าสนใจในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีการนำการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในปีนี้ไปเทียบกับปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ทำจุดสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมก่อนที่จะปรับตัวลงเกือบ 10% ทำจุดต่ำของรอบนั้นในเดือนสิงหาคมก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนตุลาคมภายหลังที่เฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายนปีนั้น โดยลดลงจากระดับ 5.25% ไปอยู่ที่ระดับ 4.75% ซึ่งการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบนี้รวมไปถึงการคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนกันยายนในปีนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบและตั้งคำถามโดยนักลงทุนอย่างมากเนื่องจากในท้ายที่สุดแล้วตลาดหุ้นภายหลังจากการทำจุดสูงสุดในช่วงเดือนตุลาคมในปี 2007 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงเข้าสู่ภาวะตลาดหมี โดยปรับตัวลดลงถึง 57% และทำจุดต่ำสุดในช่วงปี 2009
อย่างไรก็ตามเรามองว่าการเปรียบเทียบในสถานการณ์ครั้งนั้นกับในปีนี้มีความแตกต่างกัน เพื่อให้เข้าใจเราจะต้องมองภาวะตลาดการเงินในช่วงปี 2003 ถึง 2007 และ ปี 2022 ถึง 2024 ซึ่งวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอดีตนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางการเติบโตของสินเชื่อในภาคเอกชนของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจำนองภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์
การที่มีการสร้างหนี้ทั้งในภาคครัวเรือนและเอกชนจำนวนมากจึงเกิดปัญหาตามมาเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นอยู่ในระดับสูง และเมื่อเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจนนำสู่ภาวะเงินฝืดจนต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ 0% ในที่สุด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบในรอบนี้เราพบว่าไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคเอกชนและครัวเรือนเหมือนครั้งนั้น ในทางกลับกันสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนต่อความมั่งคั่งของครัวเรือนนั้นอยู่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุด ดังนั้นเราจึงไม่มองว่าเหตุของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะเหมือนรอบปี 2007 และเป็นเพียงการปรับลงเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้นเราให้มุมมองว่าในครั้งนี้จะไม่เหมือนปี 2007 และยังคาดว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน