PRM ลั่นครึ่งหลังผลงานเด่น จ่อปิดดีลโปรเจกต์ใหญ่ 1 ต.ค.นี้ -ลุยขยายกองเรือ
“พริมา มารีน” คาดรายได้ไตรมาส 3/67 โต “โดดเด่น” เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุธุรกิจเรือ FSU ดีมานด์พุ่งต่อเนื่อง พร้อมลุยแผน “ขยายธุรกิจ” ครึ่งปีหลัง จ่อปิดดีล M&A ภายใต้ Project Ocean 1 ต.ค.นี้ คาดรับรู้รายได้เข้ามาทันที และขยายกองเรือเต็มอัตรา ลั่นปีนี้ผลงานโตเข้าเป้า 10%
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด(มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 คาดรายได้ยังคงใกล้เคียงไตรมาส 2 ปี 2567 เนื่องจากมีเรือเข้าอู่อยู่จำนวนหนึ่ง ทำให้เสียโอกาสในการสร้างรายได้ และมีค่าใช้จ่ายในการเข้าอู่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงบริหารจัดการอัตราการใช้เรือที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม หากเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าแนวโน้มรายได้เติบโตดีขึ้นแน่นอน เนื่องจากรายได้ในไตรมาส 3 ปีก่อนค่อนข้างชะลอตัวลงตาม ตลาดโลกปีก่อนยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งรายได้กลับมาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เพราะความต้องการ (ดีมานด์) ใช้เรือดีขึ้นต่อเนื่อง Utilization rate เพิ่มขึ้นทุกๆ ไตรมาส ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 80% แต่จะไม่เต็ม 100% เนื่องจากมีลูกค้าบางรายต้องการเช่าแบบ Exclusive ไม่ให้รับเช่าจากคู่แข่ง
อีกทั้ง ธุรกิจบริการขนส่งและจัดเก็บสินค้าแบบลอยน้ำ (FSU) รายได้ไม่ผันผวน เนื่องจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ยังมีความเสี่ยงอยู่ ในทะเลแดงทำให้ลูกค้ามีความต้องการกักเก็บน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และน้ำมันเกรดประเภทต่างๆ ในโลกมีมากขึ้น ยิ่งน้ำมันเกรดสูง ยิ่งตั้งกักเก็บน้ำมันมากขึ้น ส่งผลดีต่อบริษัท ทำให้มั่นใจธุรกิจ FSU ครึ่งปีหลังนี้ยังเติบโตดีและไม่ผันผวนเช่นที่ผ่านมา
สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 มีรายได้ 2,387.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% มีกำไรสุทธิ 678.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วน 6 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้ 4,519.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.66% และมีกำไรสุทธิ 1,267.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1%
นายพชร รอดสมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ PRM กล่าวว่า สำหรับแผนกลยุทธ์ช่วงที่เหลือปีนี้ บริษัทยังมุ่งเดินหน้าขยายตามแผนของธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือ (SAS) จะมีลงทุนทำ M&A ภายใต้ Project Ocean ซึ่งจำนวนเงินลงทุนรวมถึงผลต่อกำไรอาจไม่มาก แต่บริษัทมุ่งหวังอยากจะได้ประสบการณ์ ฐานลูกค้าและ AEO License เพื่อโอกาสในการขยายธุรกิจทำให้บริษัทสามารถให้บริการ Logistics ได้ครบวงจรมากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเอกสารเพื่อเข้าซื้อ คาดดีลนี้จะจบ 1 ต.ค.นี้ และจะสามารถรับรู้รายได้ได้ทันทีในไตรมาส 4 ปีนี้
พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนขยายกองเรือ ไม่ว่าจะเป็น 1.การซื้อเรือ Aframax 1 ลำ มาทดแทนลำที่ไปดัดแปลงเป็น FSO เพื่อให้บริการกับ BCP กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบเรือและคุยกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ในการจัดตั้ง JV ร่วมลงทุนซื้อเรือด้วยกัน แต่ BCP ให้บริษัทบริหารจัดการเรือ คาดน่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่ไม่แน่ใจจะทันปีนี้หรือไม่
2.ซื้อเรือ Crew Boat ลำใหม่อีก จำนวน 2 ลำ มูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อให้บริการกับลูกค้ากลุ่มเดิม โดยเริ่มให้บริการ (COD) เดือนมี.ค. และก.ค.2568 และ 3.กำลังพิจารณาซื้อโครงการ Offshore โครงการหนึ่งซึ่งจะได้เรือ Crew Boat มาอีก 2 ลำ เพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่มใหม่ มูลค่าราว 550 ล้านบาท ถ้าเจรจาสำเร็จก็จะสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที โดยคาดว่าน่าจะเกิดในเดือนพ.ย
4.ซื้อเรือ FSU 1 ลำ กำลังคุยกับ Candidate ถ้าซื้อได้เร็วอาจจจะเห็นเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และ สั่งต่อเรือ Small tanker ใหม่ขนาด 2500 DWT อีก 6 ลำโดยมีกำหนดการรับเรือปลายปี 2568 (จ่ายมัดจำ 20% ปีนี้และอีก 80% ในตอนรับเรือในปีหน้า)
สำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจของบริษัท ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต จากการใช้น้ำมันและปิโตรเคมี (ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า) ในประเทศไทยยังเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมี (PCT)และธุรกิจสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (OSV)ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งในธุรกิจ OSV จะได้ประโยชน์เพิ่มเติม จากโครงการแลนด์บริดจ์ด้วย
ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งในทะเลแดง ต้องเดินเรืออ้อมเส้นทาง ทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้นในส่วนซัพพายจะหายไป ส่งผลดีต่อธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU)
"หลังจากที่เรามีการปรับปรุงกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นในปี 2567 น่าจะเป็นปีที่ PRM มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามคาดหวังมองภาพรวมทั้งปี 2567 จะเติบโต 10% ตามเป้า เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มในทุกกลุ่มธุรกิจ ใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อลดการพึ่งพิงธุรกิจขนส่งน้ำมัน"