'เงินติดล้อ' เร่งปลดล็อกการโต ทลาย'ข้อจำกัด' ธุรกิจสินเชื่อ
นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สภาพแวดล้อมภายนอก ยังไม่สู้ดีนักทัั้ง การชะลอตัวเศรษฐกิจไทย และ หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง ล้วนเป็นความ “ท้าทาย” ของธุรกิจ
แต่สำหรับ “เงินติดล้อ” ผลประกอบการยังคง “เติบโต” และ “สร้างกำไร” ต่ออย่างแข็งแกร่ง ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 ยอดสินเชื่อ 103,000 ล้านบาท โต 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และโต 23% ตั้งแต่ปี 2563-2566 ขณะที่เบี้ยประกันที่ 2,300 ล้านบาท โต 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และโต 25% นับตั้งแต่ปี 2563-2566 ณ สิ้นปี 2566 ที่ 8,700 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,100 ล้านบาท โต 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และโต 16% ตั้งแต่ปี 2563-2566 ณ สิ้นปี 2566 ที่ 3,800 ล้านบาท
โดย “เงินติดล้อ” มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ 1.86% ถือว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ 2.5% และตั้งสำรองในระดับสูงที่ 2.2 เท่า ของเอ็นพีแอลประกอบกับมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการลงทุนในเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ส่งผลดีต่อต้นทุนต่อรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 50% ช่วงปี 2563-2566 และมองแนวโน้มต้นทุนต่อรายได้ลดลงผสานกับการขยายสาขาอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการพึ่งพาสาขาลดลง และหันมาสร้างการเติบโตบนข้อมูล และเทคโนโลยี ปัจจุบันมีฐานลูกค้าถึง 1 ล้านราย จาก 5-6 แสนรายช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ประกอบกับ ความสำเร็จภาพรวมธุรกิจประกัน ด้วยการดำเนินงาน “ธุรกิจใหม่” จากแบรนด์ “อารีเกเตอร์” (Areegator) แพลตฟอร์มเสนอขายประกันออน์ไลน์ และแบรนด์ “เฮ้กู๊ดดี้” (heygoody) แพลตฟอร์มนายหน้าดิจิทัลเติบโตมากกว่าภาพรวมตลาดถึง “10 เท่า”
“ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR กล่าวว่า ถึงเวลาที่เงินติดล้อจะสร้าง “แต้มต่อ” และ “เติมเต็ม” สิ่งที่เรียกว่า “TIDLOR Ecosystem” รอบรับการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น และทลายข้อจำกัดในการขยายธุรกิจใหม่พร้อมกับสานเป้าหมายวางไว้ตั้งแต่เข้า IPO สะท้อนการมองหา “โอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศ”
ดังนั้น ก้าวต่อไปของ เงินติดล้อ เดินหน้า “ปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท” เป็น “Holding Company” ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปตามกำหนดที่วางไว้ คาดว่า “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิม โดยวิธีการแลกหุ้นที่อัตรา 1 : 1 ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และในปีหน้าบริษัทจะโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ในรูปแบบ Insur Tech ได้แก่ AREEGATOR และ heygoody รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปอยู่ภายใต้ ติดล้อ โฮลดิ้งส์
ทั้งนี้ ยอมรับว่าในปี 2567 ด้วย “ข้อจำกัด” ในการขยายธุรกิจ “สินเชื่อ” ดังนั้น บริษัทจึงได้ “ปรับลดเป้าเติบโต” ของสินเชื่อมาอยู่ในกรอบล่างระดับ 10-15% จากเป้าหมายเดิมที่ระดับ 10-20% โดยยังต้องติดตามสถานการณ์อีกครั้ง หลังเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะรอดูความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตระยะข้างหน้า
ดังนั้น สิ่งที่ต้องโฟกัสคือ “การขยายตัวของจีดีพีไทย” สะท้อนภาพว่า “ตราบใดที่จีดีพีไทยยังไม่โต คงยังไม่เห็นธุรกิจการเงินปล่อยสินเชื่อง่ายๆ และยิ่งกดดันหนี้ครัวเรือนให้อยู่ระดับสูง 80-90% ของจีดีพีต่อไป !”
ขณะเดียวกัน การปล่อยสินเชื่อของ “ธุรกิจจำนำทะเบียน” ก็ยัง “มีข้อจำกัด” ถูกกำหนดด้วยเพดานดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ยังต้องคัดเลือกกลุ่มลูกค้าหรือลูกหนี้ที่ไม่อ่อนแอจนเกินไป เพื่อสร้างพอร์ตสินเชื่อคุณภาพใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเข้ามาคัดกรองและช่วยลดต้นทุน คุม NPL ไม่เกิน 2% และหากมีเพดานดอกเบี้ยที่คุ้มทุน ช่วยทำให้ธุรกิจสินเชื่อไปรอดไปได้
ส่วน “ธุรกิจประกันภัย” ควรมีการจัดตั้ง “อินชัวรันส์ บูโร” เป็นฐานข้อมูลกลางในการกำหนดเบี้ยประกันและในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะซื้อธุรกิจประกันที่เข้าตาด้วยเช่นกัน รวมถึง มองหาโอกาสอยู่เสมอ “ขยายธุรกิจในต่างประเทศ” โดยรอจังหวะที่เหมาะสมเป็นหลักคาดจะนำ “ธุรกิจสินเชื่อ” ที่มีความพร้อมอยู่แล้วไปขยายธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิอาเซียน เน้นประเทศขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก และมีเสถียรภาพการพัฒนาด้านการเงินน้อยกว่าไทย เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความน่าสนใจ
“การสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจปีหน้าอันดับหนึ่งยังเป็นธุรกิจเงินติดล้อในฝั่งของสินเชื่อ ส่วนธุรกิจประกันภัยมองว่าจะค่อยๆ เติบโตสูงอย่างแข็งแกร่งในปีนี้มั่นใจเบี้ยรับรวมแตะ 10,000 ล้านบาท โต 20% จากสิ้นปีก่อนที่ 8,700 ล้านบาท”
ส่วนการปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็นโฮลดิ้งในครั้งนี้ เพื่อต้องการ “ลดต้นทุน” การเงินจากการจ่ายเงินปันผลในลักษณะหุ้นปันผล เนื่องจากปันผลดังกล่าวทำให้ “เงินติดล้อ” มีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยต่อปีสูงถึงกว่า 80-100 ล้านบาท หากนำต้นทุนการเงินดังกล่าวไปลงทุนด้านอื่นที่สามารถสร้างกำไรให้บริษัทเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นและบริษัทอย่างยั่งยืนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทจ่ายปันผลเงินสดบวกปันผลหุ้น Dividend เฉลี่ยรวมกันสูงถึง 8% และหลังจากเป็นโฮลดิ้งเงินปันผลเป็นเงินสดบริษัทยังจ่ายในระดับสูงไม่น้อยกว่า 20% ของกำไรสุทธิ ดังนั้น การเป็นโฮลดิ้งทำให้ปัญหาการจ่ายปันผลเป็นหุ้นหมดไป อย่างไรก็ตามรับว่าการไม่มีการจ่ายปันผลเป็นหุ้น ทำให้สัดส่วนหุ้นลดลงตาม ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นรายย่อยประมาณ 60,000 ราย ซึ่งหลังการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็นโฮลดิ้งจะสามารถ “ลดความสับสน” ของนักลงทุนจากการจ่ายหุ้นปันผลได้
โดยโครงสร้างใหม่จะช่วยสร้างการเติบโตระยะยาว เนื่องจากเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจทั้ง “สินเชื่อและนายหน้าประกัน” เพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ หรือการร่วมลงทุนอีกด้วย
“โครงสร้างแบบ Hold Holding Company ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มระยะยาว เพิ่มความสามารถแข่งขันธุรกิจได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเพิ่มโอกาสสร้างพันธมิตรธุรกิจผ่านควบรวมหรือร่วมลงทุน”
ดังนั้น การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะมีการจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ Insur Tech Platform ในอนาคต โดยบริษัทจะทำการโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ Insur Tech Platform รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทใหม่ ภายหลังจากที่หุ้นสามัญของติดล้อ โฮลดิ้งส์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหลังจากการโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องดังกล่าวแล้วเสร็จ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จะเข้าซื้อหุ้นของบริษัทใหม่ ในสัดส่วน 99.99%
ท้ายสุด “ปิยะศักดิ์” บอกไว้ว่า การจัดตั้งบริษัทใหม่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของโครงสร้างการจัดการองค์กรให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจของแต่ละธุรกิจ และเพื่อให้มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลและบริหารและจำกัดความเสี่ยงแต่ละธุรกิจที่มีลักษณะต่างกันได้