ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดบวก 124.75 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดบวก 124.75 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดบวกขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเช่นกัน ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ช่วยบดบังปัจจัยลบจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ ที่ออกมาสูงเกินคาด

ในวันพุธ (11 ก.ย.67) ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (ดัชนีดาวโจนส์)  ปิดที่ 40,861.71 จุด เพิ่มขึ้น 124.75 จุด หรือ +0.31%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,554.13 จุด เพิ่มขึ้น 58.61 จุด หรือ +1.07% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,395.53 จุด เพิ่มขึ้น 369.65 จุด หรือ +2.17%

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 3.25% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้น 1.32% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด โดยลดลง 0.93% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลง 0.88%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาด โดย หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ทะยานขึ้น 8% หลังจากเว็บไซต์ข่าวเซมาฟอร์ (Semafor) รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐ กำลังพิจารณาเปิดทางให้บริษัทอินวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐ สามารถส่งออกชิปที่ทันสมัยให้กับซาอุดีอาระเบีย

ส่วนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆ ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดย

  • หุ้น Microsoft พุ่งขึ้น 2.2%
  • หุ้น Alphabet ดีดขึ้น 1.4%
  • หุ้น Apple บวก 1.1%
  • หุ้น AMD พุ่งขึ้น 4.9%
  • หุ้น Meta Platforms ปรับตัวขึ้น 1.4%

นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้แรงหนุนจากผลการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยผลสำรวจของสำนักข่าว CNN ระบุว่า คามาลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ด้วยคะแนน 63% ต่อ 37% เมื่อเทียบกับคะแนน 50% ต่อ 50% ก่อนการดีเบต

ขณะที่ PredictIt ซึ่งเป็นเว็บไซต์พนันการเมืองระบุว่า หลังจากการดีเบตจบลง แฮร์ริสเป็นตัวเต็งชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.67 โดยมีอัตราต่อรองอยู่ที่ 57 เซนต์ เพิ่มขึ้นจาก 53 เซนต์ก่อนการดีเบต โดยหากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง คนแทงจะมีโอกาสได้รับเงินรางวัล 1 ดอลลาร์ (จ่าย 57 เซนต์ ลุ้นรับ 1 ดอลลาร์) ขณะที่อัตราต่อรองของทรัมป์อยู่ที่ 48 เซนต์ ลดลงจาก 52 เซนต์ก่อนการดีเบต

ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร และพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%

ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนก.ย. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.67 หลังจากให้น้ำหนัก 66% เมื่อวันอังคาร และให้น้ำหนักเพียง 15% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ให้น้ำหนัก 34% เมื่อวันอังคาร

หุ้นกลุ่มการเงินฟื้นตัว นำโดย หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) ทะยานขึ้น 3.5% หลังจากผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทกล่าวว่า ธุรกิจสินเชื่อมีความแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีเสถียรภาพ

ขณะที่หุ้นธนาคารรายใหญ่ดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ โดยหุ้น Goldman Sachs บวก 0.86% หุ้น JPMorgan Chase ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้น Morgan Stanley บวก 0.4%

หุ้นบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์พุ่งขึ้นขานรับความหวังที่ว่า อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์จะได้รับประโยชน์หากแฮร์ริสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยหุ้น First Solar ทะยานขึ้น 15.2% หุ้น Sunrun พุ่งขึ้น 11.3% และหุ้น SolarEdge Technologies พุ่งขึ้น 8.5%

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์