หุ้น‘แบงก์-รีท’เด้งรับ‘วายุภักษ์’ ‘ต่างชาติ’ ไล่ซื้อ หวังเงินใหม่ แสนล้าน
“กองทุนวายุภักษ์” หนุน “ต่างชาติ” กลับมาเร่ง “ซื้อหุ้นไทย” หลายหมื่นล้าน “บล.ลิเบอเรเตอร์” ชี้หุ้น “กลุ่มแบงก์-รีท” ได้ประโยชน์มากสุด หวังเม็ดเงินรอบใหม่ ขณะที่ กลุ่มปตท.-เอสซีบี มีข้อจำกัด ขณะที่ มั่นใจ รายย่อย-สถาบัน ตอบรับดี ลุ้น ฟันด์โฟลว์ ไหลกลับ ดันดัชนีพุ่ง 100 จุด
บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า “กองทุนวายุภักษ์” หนุนให้ “ต่างชาติ” กลับมาสนใจลงทุนหุ้นไทยโดย 3 วันทำการที่ผ่านมา (5-6 ก.ย. และ 9 ก.ย.67) ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2.2 หมื่นล้านบาท และซื้อผ่าน NVDR อีก 1.3 หมื่นล้านบาท รวม 3.5 หมื่นล้านบาท หนุนมูลค่าซื้อขายเร่งเพิ่มขึ้นเร็วเป็น 8 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาทต่อวัน (สูงกว่าค่าเฉลี่ยปีนี้ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท YTD) และหนุนให้ TURNOVER ต่อปี ขยับขึ้นไปเกิน 100% ตลอด 3 วันทำการ และต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยสุทธิ 11 ก.ย. 2567 อีก 2,679.63 ล้านบาท และ วานนี้ (12 ก.ย.) อีก 827.23 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า จากความคาดหวังเม็ดเงินลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่มีความชัดเจนมากขึ้น และทยอยลงทุนในหุ้นไทยเดือนต.ค. นี้ ส่งผลให้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมานี้ พบกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามาไล่ซื้อเก็งกำไรหุ้น 2 กลุ่ม ที่จะได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์หนึ่ง คือ กลุ่มแบงก์ (เป็นตัวนำมากกว่ากลุ่มพลังงานอย่างกลุ่มปตท.) และกลุ่มรีท (มีสภาพคล่อง 2-3 ตัว) ทำให้หุ้นทั้งสองกลุ่มนี้ดีดตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น
โครงสร้างกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง (หน่วย ข) ณ 31 ก.ค. 2567 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ราว 300,000 กว่าล้านบาท สัดส่วนหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) 34.79% , บมจ. เอสซีบี เอกซ์ (SCB) 25.32% ,ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) 5.31%, ธนาคารกรุงไทย (KTB) 3.48% และ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) 2.69%
เนื่องจากกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง มีน้ำหนักการลงทุนหุ้น PTT และ SCB ค่อนข้างมากแล้ว จะไม่ได้ประโยชน์จากเงินลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาเติมในกอกงทุนวายุภักษ์หนึ่งรอบนี้ เพราะจะติดหลักเกณฑ์ group limit ของกองทุน การลงทุนในหุ้นต้องกระจายความเสี่ยง ห้ามกระจุกตัวในฝั่งหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มปตท. ซึ่งบริษัทลูกของกลุ่มปตท.จะไม่ได้ประโยชน์ด้วย
ขณะที่ หุ้นแบงก์อื่นๆ นอกจาก SCB แล้ว กองทุนภายุภักษ์หนึ่ง ยังสามารถเข้าลงทุนได้ และลงทุนหุ้นรีท สามารถรับปันผลระดับ 6-7% ต่อปี เทียบเท่ากับช่วงภาวะปกติของค่าเช่าไม่นับช่วงโควิด และปัจจุบันหุ้นไทยปันผลเฉลี่ย 3%
ประเมินว่าหากกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง สามารถบริหารการลงทุนในลักษณะนี้ สามารถทำผลตอบแทน ไม่ต่ำกว่า 3% โดยไม่ไปเบียดเบียนการลงทุนเดิมที่กองทุนดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งภาวตลาดเช่นนี้มีโอกาสเป็นได้ ทางด้านความเสี่ยงต่อผลตอบแทน จะมีเฉพาะกรณีหุ้นปตท.กับเอสซีบี ปรับตัวลงหากตลาดไม่เอื้อ เพราะกองทุนมีน้ำหนักการลงทุนอยู่มาก แต่คงไม่แย่มาก
ดังนั้น คาดเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนวายุภักษ์หนึ่งรอบใหม่ กระแสตอบรับน่าจะดี ทั้งนักลงทุนทั่วไปและสถาบันที่ต้องการกระจายพอร์ตระยะยาว กองทุนวายุภักษ์หนึ่งรับประกันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 3% สูงสุด 9% ถือเป็นการเพิ่มผลตอบแทนได้ดีกว่าลงทุนบอนด์และเงินฝากที่ปัจจุบันราว 2% กว่าเท่านั้น และช่วยลดความเสี่ยงได้ดีกว่าไปลงทุนหุ้นโดยตรง
ทั้งนี้ ในช่วงจังหวะที่ตลาดรอเงินใหม่จากกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง 1-1.5 แสนล้านบาท ทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนต.ค.นี้ จึงมีแรงเก็งกำไรของต่างชาติเข้ามา ประกอบกับความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยรอการปลดล็อกเรื่องเศรษฐกิจ หลังจากปลดล็อกทางการเมืองไปแล้ว และการแถลงนโยบายรัฐบาล ตลาดรับข่าวล่วงหน้าแล้วเช่นกัน
โดยเห็นตลาดกลับเล่นบนความคาดหวัง เม็ดเงินใหม่กองทุนวายุภักษ์หนึ่งทยอยเข้ามาลงทุนหนุนตลาดหุ้นไทย มองว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,450 จุด ถือว่า สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานแล้ว และมีโอกาสปรับขึ้นที่ระดับ 1,500 จุดสิ้นปีนี้ได้ มี P/E ที่ 16 เท่า
หากมองไปข้างหน้า สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ทั้งการเมืองในประเทศ รัฐบาลเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น ขณะที่ปัจจัยนอกทั้งเลือกตั้งสหรัฐ เฟดลดดอกเบี้ย หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาตลาดหุ้นไทยชัดเจนอีกรอบ คาดดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นได้ 100 จุด หรือขยับขึ้นไปแตะ 1,550 จุด ได้สิ้นปีนี้