หุ้น AAV ราคาไต่นิวไฮรอบ 12 เดือน ลุ้น Q3/67 มีกำไรปกติครั้งแรกใน 7 ปี
หุ้น "เอเชีย เอวิเอชั่น" ราคาไต่นิวไฮรอบ 12 เดือน โบรก "หยวนต้า" ลุ้นงบ Q3/67 พลิกมีกำไรปกติครั้งแรกใน 7 ปี สวนทางโลว์ซีซัน แถมธุรกิจกำลังได้ประโยชน์จากท่องเที่ยวฟื้น น้ำมันราคาลดลง และค่าบาทแข็ง คาดเห็นกำไรอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ 3 พันล้าน
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV) นับแต่เข้าไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นต้นมากราฟราคาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน และล่าสุดวันนี้ (17 ก.ย. 2567) ขึ้นมาทดสอบจุดสูงสุดที่ราคา 2.68 บาท อีกครั้ง หากผ่านได้จะเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบราว 12 เดือนนับแต่ วันที่ 26 ก.ย. 2566
อย่างไรก็ดีราคาปิดวันนี้ขยับลงมาที่ 2.62 บาท ลดลง 0.04 บาท คิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 1.50% มูลค่าซื้อขาย 103.37 ล้านบาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า คาดงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2567 ของ AAV มีโอกาสรายงานมีกำไรปกติเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
จากที่ปกติผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจะท้าทายเพราะปัจจัยด้านฤดูกาลและเป็นจุดต่ำสุดของปี โดยไตรมาส 3 ปี 2566 ผลงาน AAV ขาดทุนปกติ 899 ล้านบาท
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในไทยและภูมิภาคจะเป็นปัจจัยหนุนให้จำนวนผู้โดยสารรวม, Load Factor และค่าบัตรโดยสารเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปีนี้เติบโตดีเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และสามารถทรงตัวเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อีกทั้ง AAV ได้รับเครื่องบินใหม่ 2 ลำเมื่อช่วงกลางปี 2567 ซึ่งเครื่องบินรุ่น A321neo มีจำนวนที่นั่งมากกว่าเดิม 50 ที่นั่งและประหยัดน้ำมันได้ดีกว่ารุ่นเดิมราว 20-30% และการขยายฝูงบินทำให้บริหารเส้นทางและจำนวนเที่ยวบินตาม Demand ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ AAV รับประโยชน์โดยตรงจากค่าเงินบาท/USD แข็งค่าและราคาน้ำมันโลกที่ปรับลง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในปัจจุบันลดลง
มาอยู่ที่ 83.7 US$/bbl ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในครึ่งแรกปี 2567 และ ไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ 100.6 US$/bbl และ 112.6 US$/bbl ตามลำดับ
ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะเกิดการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงราว 3.0 พันล้านบาทใน ไตรมาส 3 ปี 2567 ผลจากการปรับมูลค่าหนี้สินสัญญาเช่าเครื่องบิน แม้รายการดังกล่าวจะเป็นตัวเลขทางบัญชี ไม่กระทบต่อกระแสเงินสดจริงแต่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยให้งบดุลของบริษัทแข็งแรงขึ้น และช่วยลดผลขาดทุนสะสมได้
อย่างไรก็ดีปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2568 ขึ้น 3-10% เป็น 3.0 พันล้านบาท และ 3.5 พันล้านบาท ตามลำดับ ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมกลางปี 2568 ที่ 3.70 บาท/หุ้น (อิง EV/EBITDA Multiple เดิมที่ 10.8 เท่า) จากการ Turnaround ของผลประกอบการ แนะนำซื้อ