ลุ้น Window Dressing ดัน ‘หุ้นไทย’ วายุภักษ์หนุนท่ามกลางสงครามปะทุ - ศก.โลกฉุด
ลุ้น Window Dressing ดัน ‘หุ้นไทย’ วายุภักษ์หนุน "นักวิเคราะห์" ระบุ จับตาสงครามตะวันออกกลางหวั่นรุนแรง และเศรษฐกิจโลกคาดชะลอตัว
ปัจจัยภายนอกยังคงต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐที่ส่อแววชะลอตัวลง หรือสงครามตะวันออกกลางที่มีการสู่รบกันระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แต่ทว่าดัชนีหุ้นไทยยังคงได้รับแรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์ที่เข้ามาก่อนหน้า และคาดว่าจะได้รับแรงเสริมในช่วงโค้งท้ายของปีนี้ จาก Window Dressing จะที่ช่วยผลักดันให้หุ้นไทยมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น
“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในช่วงที่จะใกล้สิ้นปีกองทุนจะมีการเข้าไปทำ Window Dressing อยู่แล้ว โดยคาดว่ากองทุนจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่เอาท์เพอร์ฟอร์มในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ได้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL CPAXT กลุ่มเฮลท์แคร์ เช่น BH BDMS และกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GULF กับกลุ่มไอซีที เช่น ADVANC กลุ่มท่องเที่ยว เช่น AOT เป็นต้น ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง
และระหว่างทางคาดว่ากองทุนอาจจะมีการสะสมไปด้วย เนื่องจากจะมีการประกาศผลประกอบการในช่วงเดือนพ.ย.นี้ กองทุนก็อาจจะมีการเข้ามาเก็บหุ้นที่มีกำไรดี เช่น CBG เป็นต้น ที่กองทุนคาดว่าจะเข้าไป รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากดาต้าเซนต์ และการย้ายฐานมาไทยจากสงครามการค้าสหรัฐกับจีน ซึ่งหลักๆ กองทุนน่าจะเข้าไปลงทุนหุ้นกลุ่มเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาพเศรษฐกิจนอกประเทศอย่างสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณปรับตัวลง เพราะฉะนั้นหากไปดูสถิติดัชนีหุ้นไทยหลังจากที่เฟดมีการคัดดอกเบี้ย 2 - 3 เดือน โดยปกติผลตอบแทนจะเป็นลบ ขณะที่ในช่วงแรกของ 1 เดือนผลตอบแทนจะเป็นบวกขึ้นมาก่อน
นอกจากนี้สงครามตะวันออกกลางที่ยังต้องจับตาที่ยังคงเป็นความเสี่ยง ณ ปัจจุบัน และยังคาดเดาได้ยากมากว่าจะจบลงอย่างไร หากมีการสู้รบกันอยู่ระหว่างนี้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ยากไปอีก โดยในช่วงสิ้นปีผลกรอบหุ้นไทยมองเป็นกรอบไซด์เวย์ไว้ที่ระดับ 1,400 จุด กองทุนวายุภักษ์เข้ามารับช่วยหนุน เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดมีการรับปรับมาจากการมาของกองทุนวายุภักษ์ และความชัดเจนของนายกรัฐมนตรี
“ปกติหากดูน้ำหนักต่างชาติกับสถาบัน ส่วนใหญ่ต่างชาติจะมีน้ำหนักมากกว่าเยอะ และเวลาต่างประเทศมีการชะลอ จะเป็นการกดดันภาคส่งออกของบ้านเรา ซึ่งจะเห็นในช่วงกลางไตรมาส 4 คิดเป็นว่าต้องระวัง”
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย ซึ่ง Window Dressing จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้ ๆ สิ้นปี ปัจจุบันแม้หุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการประคองจากกองทุนวายุภักษ์ จึงทำให้เห็นถึงความชัดเจน แม้ว่ากองทุนยังไม่ได้มีการไล่ซื้อ เพราะฉะนั้นจึงมองว่า ไม่ได้มีความจำเป็นในการเร่งซื้อทำ Window Dressing
แต่ทว่า มองภาพในเชิงเซนทิเมนต์มากกว่า หากภาพภายในประเทศไม่ได้เป็นลบ และยังคาดหวังเชิงบวกกับเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศเพราะหุ้นที่มีการปรับลดลงมาส่วนใหญ่มาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก หากปัญหาจากต่างประเทศมีความคลี่คลายได้หุ้นจะสามารถฟื้นขึ้นได้มาโดยธรรมชาติ
มองกรอบสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,470 จุด แต่ทว่ามองภาพว่าจะสามารถไปแตะที่ 1,500 จุด ได้หรือไม่ ซึ่งก็คาดว่ายังมีโอกาส ขณะที่ฟันด์โฟลว์มองว่า หากผ่านปัจจัยจากต่างประเทศ หรือดอลลาร์ที่พลิกกลับมาแข็ง เชื่อว่าในระยะกลางหรือยาว จะสามารถไหลกลับเข้ามา ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการ Take Profit ระยะสั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวลงมา มองว่า เป็นการย่อลงมาให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อได้ ในระดับ 1,400 จุด บวกลบ มองว่าเป็นระดับที่นักลงทุนมีโอกาสเห็นการไต่ระดับฟื้นตัวขึ้นไปได้ และน่าจะเห็นกองทุนวายุภักษ์ที่มีการซื้อที่ชัดเจนมากขึ้น
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า ไตรมาส 4 ปี 2567 จะมีแรงซื้อจาก Window Dressing รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ หรือกองทุนที่จะเข้ามาซื้อจะเข้ามาช่วยหนุนดัชนีหุ้นไทยได้ เนื่องจากภาคเศรษฐกิจของไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาตลอด รวมถึงสุญญากาศไม่มี และพ.ร.บ.งบประมาณไม่ได้มีการล่าช้า เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมา ถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อของนักลงทุนรายย่อย
โดยมองกรอบสิ้นปีไว้ที่ 1,480 จุด แต่คาดว่าถ้ามองไปที่ระดับ 1,500 จุด ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ทว่าในกรอบด้านล่างมองไว้ที่ 1,430 - 1,425 จุด หากสงครามตะวันออกกลางไม่ได้มีการขยายวงมากกว่านี้ 1,425 จุด น่าอยู่ในระดับนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนวายุภักษ์ และ Window Dressing จะเข้ามาช่วยพยุงให้ไม่น่าที่จะหลุด 1,400 จุด
โดยกลุ่มที่น่าสนใจยังคงเป็นการบริโภคในประเทศ รวมถึงกลุ่ม หุ้น Global play หรือหุ้นที่มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลกหรือกลไกตลาดต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มพลังงาน หรือน้ำมัน และส่งออก โดยให้ความสำคัญกับหุ้นที่สามารถป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นเช่น PTTEP SPRC เข้ามาเสริมพอร์ต หากนักลงทุนมีกลุ่มค้าปลีก หรือกลุ่มธนาคารแล้ว หรือกลุ่มไอซีที ที่เป็นหุ้นในประเทศอยู่ในพอร์ตแล้ว แนะนำให้มีกลุ่ม Global play ส่งออก และพลังงานด้วย เนื่องจากน้ำมันได้รับอานิสงส์จากสงครามทำให้บาทอ่อนค่า รวมถึงส่งออกที่ได้รับประโยชน์ด้วย
สูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์