ตลาดกระทิงเซินเจิ้น จริงแค่ไหน
การปรับตัวขึ้นของหุ้นจีน เป็นแค่จุดเริ่มต้นของมุมมองว่าหุ้นจีนลงทุนได้แล้ว ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่สูง อาจเลือกเริ่มที่ H-Share ที่พื้นฐานดีมีโอกาสเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าลงทุน ส่วนถ้ารับความเสี่ยงได้สูง สามารถเลือก A-Share ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากอารมณ์ตลาดของนักลงทุนในประเทศจีนมากที่สุด
หุ้นจีนพุ่งแรงหลังทางการจีนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะไปต่อได้อีกไหมจากตรงนี้? เป็นคำถามหลักในใจนักลงทุนไทยที่ติดหุ้นจีนอยู่ หรือแม้ไม่ได้ลงทุนแล้วหลายท่านก็กลับมาสนใจหุ้นจีนกันอีกครั้ง
ดีกรีความผันผวนของหุ้นจีนนั้นอยู่ในขั้นมหาศาล แค่ระยะเวลาเดือนเดียวดัชนี Hang Seng พุ่งทะยานจากระดับ 17000 ขึ้นไปแตะ 22000จุด พร้อมกับดัชนี CSI 300 ที่ทะยานขึ้นเกิน 1000 จุดไปที่ระดับ 4200 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นราว 30-35% ในทั้งสองตลาด
นักเศรษฐศาสตร์และนักกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลกมีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างสำหรับโอกาสการกลับมาของเศรษฐกิจและหุ้นจีน
ส่วนตัวผมเรียกตลาดกระทิงจีนครั้งนี้ว่า “ตลาดกระทิงเซินเจิ้น” มีหลายอย่างที่น่าสงสัยว่าจะไม่ใช่ของจริง แต่ก็มีหลายเหตุผลที่อาจทำให้ตลาดหุ้นจีนเป็นขาขึ้นต่อไปได้
เริ่มต้น มองแบบนักลงทุนช่างสงสัยก่อน
การกระตุ้นครั้งนี้แม้คาดกันว่าจะมีปริมาณเงินก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจไม่ช่วยมากเพราะขนาดเศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าเดิมเช่นกัน
ทางการจีนตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจในหลายช่องทาง ทั้งนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการกระตุ้นตลาดหุ้น นับถึงตอนนี้คาดว่าการกระตุ้นทั้งหมดรวมแล้วจะมีขนาดถึงกว่า 8 ลล.หยวน มากที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ดี ด้วยขนาดของเศรษฐกิจจีนล่าสุดที่มีขนาดถึงที่ราว 130 ลล.หยวนการกระตุ้นครั้งนี้จึงมีขนาดเพียง 6% GDP น้อยกว่าปี 2008 และ 2015 ขณะที่ผลกับเศรษฐกิจคาดว่าจะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 0.5-0.6% ถือเป็นการแก้ตลาดหมี แต่อาจไม่ใช่กระทิงรอบใหม่
ประเด็นต่อมาคือปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบหรือหาหน่วยงานรัฐมาซื้อในปริมาณตามข่าว
ไม่ใช่เพราะนโยบายไม่ดี แต่ผมมองว่าขนาดและวิธีการไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน คาดว่าจะมีขนาดถึง 100 ลล.ดอลลาร์ หรือ 700 ลล.หยวน ใกล้เคียงกับมูลค่าของตลาดหุ้นทุกประเทศรวมกัน
แต่ขนาดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯโดยตรงกลับมีขนาดไม่ถึง 1ลล.หยวนด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากว่าปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม
นอกจากนั้น ราคาบ้านในจีนอาจหยุดปรับตัวลงจากการกระตุ้นอารมณ์ตลาดระยะสั้น แต่ถ้ามองในระยะยาว ราคาบ้านในจีนปัจจุบันอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสมด้วย Price to Rent Ratio ที่สูงถึงกว่า 75x เทียบกับค่าเฉลี่ยโลก 20x แม้กำลังซื้อจะกลับมาแต่ท้ายที่สุดก็ยากที่จะยั่งยืน
โดยรวมผมจึงมองว่ามาตรการเศรษฐกิจของจีนครั้งนี้อาจไม่ใช่การกระตุ้น (Stimulus) แต่เป็นการสร้างเสถียรภาพ (Stabilize) ให้กับตามมากกว่า
แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดนี้จะไม่ดี การอัดฉีดด้วยหลากหลายมาตรการ หลายครั้ง รวมกันสามารถปรับอารมณ์ตลาดได้
เห็นได้ชัดจากการปรับตัวขึ้นของตลาด นโยบายแรกๆ ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ แต่เมื่อทางการเห็นว่าตลาดไม่ตอบรับ ก็ยิงนโยบายออกมาต่อเนื่องจนกลายเป็นความเชื่อของตลาดว่า ทางการจีนเข้าสู่โหมด “Whatever it takes” หรือจะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ตามเป้า
ความหวังนี้ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้นการกระตุ้นจะต้องมีต่อไปอีก ทำให้เงินลงทุนเดิมเกิดความฮึกเหิม และเงินลงทุนใหม่อยากเข้าสู่ตลาดเพราะเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นอกจากนั้น จังหวะการกระตุ้น ถือเป็นเวลาเหมาะสม ไม่ใช่แค่เพราะราคาหุ้นจีนอยู่ในระดับต่ำ แต่หุ้นทั่วโลกแพง และเฟดลดดอกดเบี้ยพอดีด้วย
เปรียบเทียบระดับ P/E ก่อนการกระตุ้นของ MSCI All Country World ที่ราว 20x กับ MSCI China ที่ราว 10x ถือเป็นระดับที่ถูกมากในเชิงเปรียบเทียบ แม้หุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นมาแล้วในปัจจุบันก็ยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นโลก
ในทางกลับกัน หุ้นโลกปัจจุบันก็กระจุกตัวอยู่ในตลาดสหรัฐที่อยู่ในระดับราคาที่แพงใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล แถมยังมีการเลือกตั้งใหญ่รออยู่ในอีกเดือนข้างหน้า นักลงทุนทั่วโลกจึงมองเป็นโอกาสสำหรับการกระจายการลงทุน
นอกจากนั้น การที่เฟดลดดอกเบี้ยก็เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากสหรัฐได้ถูกลง ทางการจีนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเงินหยวนอ่อนหรือเงินทุนไหลออกมากอีกด้วย เรียกว่าราคาถูก ถูกที่ ถูกเวลา พร้อมกัน
ถึงตรงนี้ถ้าให้สรุปว่า ตลาดกระทิงเซินเจิ้น เป็นของจริงแค่ไหน
ต้องตอบว่าในมุมเศรษฐกิจ เป็นเรื่องยากที่นโยบายเหล่านี้จะสามารถทำให้จีนกลับไปขยายตัวสูงได้อย่างเดิม หรือปัญหาในตลาดอสังหาฯ จะหมดไป
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าทางการจีนทยอยส่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าตลาดต่อเนื่องก็เป็นผลดีกับตลาดหุ้นแน่นอน
สำหรับผม การปรับตัวขึ้นของหุ้นจีน เป็นแค่จุดเริ่มต้นของมุมมองว่าหุ้นจีนลงทุนได้แล้ว ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่สูง อาจเลือกเริ่มที่ H-Share ที่พื้นฐานดีมีโอกาสเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าลงทุน ส่วนถ้ารับความเสี่ยงได้สูง สามารถเลือก A-Share ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากอารมณ์ตลาดของนักลงทุนในประเทศจีนมากที่สุด
ไม่ว่าตลาดกระทิงเซินเจิ้นนี้จะเป็นของจริงหรือไม่ หุ้นจีนก็ควรมีที่ยืนในพอร์ตลงทุนของเราครับ