'กูรู' จับตาจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัน 'ตลาดหุ้น' ภาพลวงตาหรือของจริง ?

'กูรู' จับตาจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัน 'ตลาดหุ้น' ภาพลวงตาหรือของจริง ?

กูรู ระบุ จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัน 'ตลาดหุ้น' คึก แนะจับตา “จีดีพีจีน” ช่วง 12 เดือนข้างหน้ายังมีอัพไซด์โต 0.5-1% ด้านบลูมเบิร์ก เผยว่า ปฏิกิริยาของตลาดแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างนักลงทุนในตลาดหุ้น และเจ้าหน้าที่ในปักกิ่ง

ช่วงนี้ “ตลาดหุ้นจีน” กำลังถูกจับตาอย่างยิ่ง หลังจากออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยการ “ลดดอกเบี้ย” ช่วยลดภาระทางการเงิน “เพิ่มสภาพคล่อง” ให้กับระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของจีน เป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ จึงทำให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นจีน

\'กูรู\' จับตาจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัน \'ตลาดหุ้น\' ภาพลวงตาหรือของจริง ?

แต่ทว่า “ตลาดหุ้นฮ่องกง” ยังปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยลดลงเกือบ 10% บทวิเคราะห์บลูมเบิร์ก เผยว่า ปฏิกิริยาของตลาดแสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างนักลงทุนในตลาดหุ้น และเจ้าหน้าที่ในปักกิ่ง ซึ่งแสดงความมั่นใจเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า พวกเขาจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณ 5% ในปีนี้
 

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามว่า ปักกิ่งจะหยุดที่การบรรลุเป้าหมายนั้นหรือจะทำมากกว่านั้น เพื่อดึงจีนออกจากภาวะเงินฝืดที่สร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจมหาศาล ฉะนั้น จึงต้องจับตาว่า ภาวะที่ทำให้หุ้นจีนขึ้นครั้งนี้ จะยาวนานแค่ไหน หรือแค่กระตุ้นระยะสั้นเท่านั้น

“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนมักไม่ค่อยเห็นผล เมื่อมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทีไรตลาดหุ้นจีนก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้น และหลังจากนั้นก็จะปรับตัวลงมาต่อ แต่ทว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในรอบนี้มีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการกระตุ้นในตลาดหุ้นจีน รวมถึงการเพิ่มกำลังซื้อ และการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาจากระดับต่ำสุดเกือบ 25% นอกจากนี้ จีนเตรียมจัดตั้งกองทุนที่คล้ายกับกองทุนวายุภักษ์ของไทยด้วย 

อย่างไรก็ดี การที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบนี้ มีมุมในเชิงบวกหากย้อนไปก่อนหน้านี้ จีนมักไม่กล้าอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะมองว่า หากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยืนอยู่ในระดับที่สูง และเมื่อจีนอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากๆ จะส่งผลให้ดอลลาร์หยวนที่ทำให้โฟลว์มีการไหลออก แต่ ณ ปัจจุบันสหรัฐมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้จีนสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เยอะกว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ถัดมาเมื่อเซนทิเมนต์ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวขึ้นมา ซึ่งประมาณการในอัพไซด์ของ “จีดีพีจีน” ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ประมาณ 0.5-1%

“เวลาเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัวภูมิภาคฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย รวมถึงไทย ที่จะมีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างมากกับจีน โดยเฉพาะในฝั่งของกำลังซื้อของนักท่องเที่ยว และส่งออก”

“นธีร์ ใบเจริญ” รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ให้ข้อมูลเสริมว่า การที่จีนประกาศมาตรการ การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคในจีนลดต่ำลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2539 อัตราการว่างงานในกลุ่มคนรุ่นในใหม่ในจีน 16-24 ปี ยังอยู่ในระดับที่สูง 18.8% ราคาบ้านในหลายหัวเมืองปรับตัวลดลง พร้อมกับยอดขายบ้านใหม่ในจีนลดลงอย่างรุนแรง สะท้อนกำลังการบริโภคที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลจีนทั้ง ธนาคารกลางจีน หรือ PBOC และคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ หรือ NDRC ของรัฐบาลจีน ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งลดเงินทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ ให้เงินแก่กลุ่มเปราะบางในช่วงเทศกาลวันชาติ ลดดอกเบี้ยบ้านมือ 1 และมือ 2 ลดดอกเบี้ยการกู้ยืมให้กับลูกค้าชั้นดีลง 0.5% สนับสนุนตั้งเงินกองทุนอีก 8 แสนล้านหยวน ให้เสริมสภาพคล่องตลาดหุ้น และมีแผนที่จะออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 2.84 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 8 ต.ค.67 ที่ผ่านมา ได้มีแถลงการณ์ของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ หรือ NDRC กลับไม่ได้ระบุรายละเอียดและมีความชัดเจนใดๆ เกี่ยวกับมาตรการที่ประกาศมาก่อนช่วง Golden Week ส่งผลให้ดัชนีอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ร่วงลงหลังจากพุ่งสูงขึ้นกว่า 9% นักลงทุนต้องการเห็น รูปธรรมของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่าการแถลงนโยบายในภาพกว้าง เช่น การลดจำนวนบ้านที่ยังค้างอยู่ในตลาด การพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งนักลงทุนมองว่า ต้องการให้ หน่วยงานภาครัฐระบุจำนวนเม็ดเงินเวลา และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการกระตุ้นมากกว่า NDRC แถลงนโยบายในรูปแบบเดิมๆ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์