‘กูรู’ ยก ‘วายุภักษ์’ ดันหุ้นไทยพุ่ง รับ ‘ฟันด์โฟลว์’ เข้ากว่า ‘หมื่นล้าน’
เม็ดเงินลงทุน 1.5 แสนล้านบาท กองทุนวายุภักษ์ จะเริ่มทยอยเข้ามา ย้อนไปดูตั้งแต่ต้นสัปดาห์ของเดือนต.ค.2567 จะมีเม็ดเงินเริ่มไหลเข้ามาที่ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท
แม้ว่า “ตลาดหุ้นไทย” ยังคงเผชิญกับผลกระทบจากทั้ง ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ยิ่งเฉพาะสงครามตะวันออกกลางกลับมาปะทุขึ้นมาอีกครั้ง !! แต่ถือว่าสถานการณ์ยังคงอยู่ในวงจำกัด และยังไม่เห็นภาพการขยายออกมาเป็นวงกว้าง ซึ่งนักลงทุนแค่เฝ้าติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเท่านั้น สะท้อนจากดัชนี SET INDEX ที่ไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรง หนึ่งในแรงหนุนสำคัญคงต้องยกให้ “กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง หรือ VAYU1” ที่หนุนความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย สอดคล้องกับ “นักวิเคราะห์” หลากหลายสำนักปรับเป้าดัชนีฯ หุ้นไทยต้นปี 2568 เพิ่มเป็น 1,500-1,600 จุด !!
“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากย้อนไปตั้งแต่หุ้นไทยมีอัปติ๊ก รูล เมื่อ 1 ก.ค. 2567 มีกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง เมื่อ 1 ต.ค.2567 ที่ผ่านมา โดยมองทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นปัจจัยเชิงบวก เนื่องจากทำให้ฝั่งช็อตเสียเปรียบจากอัปติ๊ก รูล จากเดิมมูลค่าการช็อต 10-15% ต่อวัน ลดลงมาเหลือที่ประมาณ 5% ต่อวัน ที่เห็นได้ชัด แม้ว่าในบางช่วงจะมีต่างชาติขายทำ “กำไร” แต่พบว่ากองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง จะเป็น “พระเอก” เข้ามาช่วยพยุง และลดความกังวล
ทั้งนี้ คาดไตรมาส 4 ปี 2567 และไตรมาส 1 ปี 2568 ดัชนีหุ้นไทยยังคงสามารถเลี้ยงตัวได้อยู่ ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ดังนั้น เชื่อว่าตลาดยังไปต่อได้ บวกกับระยะสั้น “เม็ดเงินต่าชาติ” (ฟันด์โฟลว์) เริ่มทยอยไหลเข้าในฝั่งของตลาดหุ้น และพันธบัตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีนโยบายผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการเปิดทางลงของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์มีการอ่อนค่าลง
ขณะที่ “จีน” มีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยทำให้ “ตลาดหุ้นจีน” ปรับตัวขึ้นในรอบนี้ 25% จากระดับต่ำสุด สะท้อนจากการกระตุ้นในตลาดหุ้น เพิ่มกำลังซื้อด้วยมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งตั้งกองทุนคล้ายๆ กองทุนวายุภักษ์หนึ่งของไทย ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ไปได้ ดังนั้น ประเมินกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง เข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยจึงปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2568 ขึ้นไปแตะ 1,600 จุด
“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กองทุนวายุภักษ์มีเงื่อนไขในการรับประกันผลตอบแทนที่ 3% สูงสุดที่ 9% ฉะนั้น หากคิดตามหลักการแล้วไม่ควรเกิน 10.10 บาท ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ แต่ทว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ นั่นแสดงว่าได้มีการมองทิศทางของตลาดหุ้นไทยเป็นภาพ “ขาขึ้น” เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนเข้ามาชดเชย จึงจะทำให้มูลค่า NAV มีความคุ้มค่ากับการลงทุนไป ณ ขณะนี้
ทั้งนี้ มองดัชนีหุ้นไทยในเชิงกลยุทธเป้าหมายสิ้นปีที่ 1,500 จุด มีอัปไซด์เหลืออยู่ประมาณ 4-5% ซึ่งคาดว่าจะทำให้กองทุนวายุภักษ์หนึ่ง ปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย หรือประมาณ 10.30 บาท
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง แนะนำให้เน้นลงทุนระยะยาว หรือ อาจจะถือไปจนถึงครบสัญญา หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 5 ปี จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เนื่องจากในช่วงระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนได้ และเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการโยกเงินจากพันธบัตรมาในกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง ที่มีโครงสร้างรับประกันเงินต้น ซึ่งมีความคุ้มครองคล้าย ๆ กัน
สำหรับหุ้นที่กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง จะเข้าไปลงทุนเน้น “หุ้นขนาดใหญ่” และต้องมี ESG เรตติ้งระดับ A ขึ้นไป โดยเป็นเงื่อนไขจะเข้าไปลงทุน เช่น ใน SET50 จะต้องมี ESG ระดับ A ขึ้นไป หากนอก SET100 จะต้องมี ESG ตั้งแต่ AA ขึ้นไป เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังต้องดูที่เงินปันผลสูง หุ้นที่คาดว่า จะเป็นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง มองว่าเป็นหุ้น ADVANC, AP, EGCO หรือ TTB ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ และมี ESG เรตติ้งดี และมีปันผลระดับดี
“เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ยังคงทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ โดยเท่าทราบมานักลงทุนมีการเข้าไปพักเงินที่ตลาดบอนด์ก่อน และอาจรอจังหวะที่เหมาะจะโยกเงินจากตลาดบอนด์มาตลาดหุ้นได้”
ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง มองว่า ก่อนหน้านี้มีการแข็งค่าขึ้นมาเร็วเกินไป ประกอบกับสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นักลงทุนต่างเฝ้าติดตามว่า กนง. จะมีท่าทีเช่นไร ซึ่งก่อนหน้านี้มติลงไว้ที่ 6 ต่อ 1 โดย 6 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ ขณะที่ 1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ย แต่ทว่าในสัปดาห์หน้าเสียงออกมาเป็น 4 ต่อ 3 หรือ 5 ต่อ 2 โอกาสที่อัตราดอกเบี้ยก็จะปรับลดลงมาได้ โอกาสเงินบาทก็จะอ่อนค่าลงได้อีกเล็กน้อย
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด FSS บริษัทในเครือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลเสริมว่า ยังคงขึ้นอยู่กับตัวดัชนีหากหุ้นมีความผันผวน นักลงทุนอาจจะสวิตช์จากหุ้นไปลงทุนในบอนด์ได้
ขณะที่ราคาของ ในช่วง 1 ปี ของ VAYU1 ไต่ไปอยู่ในระดับ 10.30-10.90 บาท แต่ทว่าเมื่อมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ราคาก็จะปรับลงไปถึง 10 บาท เนื่องจากมีการจ่ายปันผล 0.30-0.90 สตางค์ต่อปี ซึ่งถ้าหุ้นมีการปรับขึ้นน้อยราคาจะอยู่ที่ 10.30 บาท หากหุ้นขึ้นเยอะราคาก็จะอยู่ที่ 10.90 บาท
โดยเม็ดเงินลงทุน 1.5 แสนล้านบาท จะเริ่มทยอยเข้ามา แต่จะเข้าหุ้นมากน้อยแค่ไหนยังคงต้องดูดัชนีเป็นหลัก ซึ่งถ้าย้อนไปดูตั้งแต่ต้นสัปดาห์ของเดือนต.ค.2567 จะมีเม็ดเงินเริ่มไหลเข้ามาที่ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท
สำหรับหุ้นที่กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง จะเข้าไปลงทุนได้ประมาณ 100 กว่าตัว แต่ตัวที่คิดว่าน่าสนใจ เป็น “หุ้นกลุ่มแบงก์” เกือบทุกตัวเข้าข่ายหมด เนื่องจากกลุ่มแบงก์มีการจ่ายปันผลสูง 5-6% ซึ่งขั้นต่ำของกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง อยู่ที่ 3% กลุ่มแบงก์จึงมีความน่าจะเป็นไปได้ ขณะที่ในระยะยาวมีความแข็งแกร่ง ได้แก่หุ้น ADVANC, BDMS, CPALL, CPN, HMPRO ถือว่าอยู่ในข่ายทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง มีผลต่อฟันด์โฟลว์ที่จะเข้าเช่นกัน เนื่องจากในช่วง 1 -2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ฟันด์โฟลว์มีการไหลออก แต่เป็นแค่ช่วงระยะสั้นในการอ่อนค่า โดยในระยะยาวคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าได้อยู่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์