เปิด 10 หุ้น SET50 สุดแกร่ง 3 เดือนพุ่งเกิน 50% แรงหนุน นายกฯอิ๊งค์-วายุภักษ์

เปิด 10 หุ้น SET50 สุดแกร่ง 3 เดือนพุ่งเกิน 50% แรงหนุน นายกฯอิ๊งค์-วายุภักษ์

เปิด 10 หุ้น SET50 สุดแกร่ง 3 เดือนพุ่งเกิน 50% แรงหนุน นายกฯอิ๊งค์-วายุภักษ์ "หุ้น GULF" พุ่งมากสุด 54.44% "นักวิเคราะห์" เผย หุ้น SET50 กระจุกตัวที่หุ้น GULF INTUCH DELTA ราคาหุ้นยัง Outperform

ตลาดหุ้นไทยในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา สุดร้อนแรงมีการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งปัจจัยภายในประเทศที่มีความชัดเจนด้านการเมือง โดย 16 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ "เห็นชอบ" ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31  ซึ่งเป็นไปตามการคาดหมายของหลายฝ่าย ต่อมามีปัจจัยบวกในเรื่องของเม็ดเงินจาก "กองทุนวายุภักษ์" หนุนให้เดือนนี้สถาบันฯ ซื้อสุทธิหุ้นไทยทุกวันด้วยมูลค่ารวมเกิน 3.2 หมื่นล้านบาทไปแล้ว รวมไปถึงการประกาศลดดอกเบี้ยของ กนง.0.25% ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี 5 เดือน ตามกลไก หนุนตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น 

วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตั้งแต่มีข่าวว่า แพทองธาร ชินวัตร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในช่วงวันที่ 15 ส.ค.2567 หากนับตั้งแต่วันนั้น SET50 อยู่ที่ 817 จุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 942 จุด ปรับขึ้นมา 15% อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเข้ามา ส่วนหนึ่งตลาดมีความคาดหวัง เรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดมีความเชื่อมั่นในตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เนื่องจากสมัยที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่บริหารประเทศได้ดี พาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ จึงทำให้ตลาดมีความคาดหวังในส่วนนี้ 

ขณะที่ ในช่วงเดียวกัน ยังมีสตอรี่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่เข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นโลก และหลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศถึงกองทุนวายุภักษ์ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องเสริมเข้ามา ซึ่งจะเห็นได้ว่า กองทุนวายุภักษ์เข้ามาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 สถาบันมีการซื้อไปแล้วกว่าสองหมื่นล้านบาท 

ทั้งนี้ ส่งผลให้ตลาดมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 15% จากวันที่แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองว่า ตลาดได้รับรู้ข่าวดีไปมากแล้ว รวมถึงการที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ประกอบตลาดเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบไตรมาส 3/67 ด้วย  

"การที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นมาถึง 15% ต้องยอมรับว่า Valuation ไม่ได้ถูก เพราะจังหวะที่หุ้นปรับขึ้นมา นักวิเคราะห์ไม่ได้มีการปรับกำไรขึ้น เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงทรงตัว แสดงว่า ตลาดยังไม่ได้ดีขึ้นมากนัก"

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า หุ้นไทยไม่ได้อยู่ในจุดที่ถูกมาก เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่มีกำไรอาจจะแบ่งออกมาทำกำไรได้บ้าง เพราะหุ้นไทยในตอนนี้จะเห็นได้ว่า ถูกลากขึ้นไปเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น เช่น DELTA ยังคงขึ้นแรง และก่อนหน้าจะเป็นหุ้น GULF ADVANC และปัจจุบัน Valuation หุ้นไม่ได้ถูกมาก รวมถึงเริ่มเห็นฟันด์โฟลว์ไหลออก ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า รวมถึงต่างชาติมีการเก็งกำไรวายุภักษ์มาก่อนหน้า นอกจากนี้ อาจจะต้องรอดูผลประกอบการไตรมาส 3/67 หากไม่เป็นไปตามคาดอาจจะมีแรงเทขายออกมาได้

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าอัพไซด์ยังคงมีจำกัด มองดัชนีหุ้นไทยไว้ที่ 1,500 -1,520 จุด เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาทำให้มีอัพไซด์เหลือประมาณ 2-3% นักลงทุนอาจจะใช้จังหวะนี้ขายทำกำไร และรอย่อตัวซื้อคืน

ส่วนใน SET50 เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ทว่า สังเกตให้ดีจะเห็นว่า จะมีการกระจุกตัวที่หุ้น GULF INTUCH DELTA เนื่องจากราคาหุ้นเหล่านี้กำลัง Outperform บวกกับการทำ นิวไฮใหม่เป็นประวัติการณ์ เป็นการบีบบังคับให้กองทุนรวมจำเป็นต้องลงทุนในหุ้นเหล่านี้ ไม่ใช่นั้นจะทำให้อ๊อฟจากดัชนี 

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในช่วงนี้รัฐบาลกำลังมีการสร้างผลงาน โดยในช่วงปลายปีมีการคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่ทว่าในช่วงนี้นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับฟันดาเมนทอลมากกว่า เพราะเริ่มมีทยอยประกาศผลประกาศของกลุ่มแบงก์ออกมาบ้างแล้ว ในสัปดาห์หน้าจะเป็นการประกาศกลุ่มเรียลเซกเตอร์ ซึ่งหากไปดูทิศทางของประมาณการของกำไรบริษัทจดทะเบียนถูกปรับลงมาอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำการปรับขึ้นในครั้งนี้มีอัพไซด์จำกัด เพราะเอินนิ่งไม่มา

"ช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมองเป็นบวก เพราะว่ามาตรการต่าง ๆ เศรษฐกิจปลายปีนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ที่มีมาตรการจากภาครัฐ และตลาดหุ้นเมื่อทราบผลการเลือกตั้งของสหรัฐ ปกติจะมีโอกาสในการปรับขึ้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6% ในช่วง 3 เดือนหลังจากการรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐ นอกจากนี้จะมีเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เข้ามาด้วย เช่นกองทุน RMF กองทุน SSF และกองทุน TESG ด้วย ซึ่งตลาดยังดีอยู่ แม้อัพไซด์จะจำกัดก็ตาม แต่ต้องเลือกเป็นรายตัวไป โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ กลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว การบริโภค กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย และกลุ่มไฟแนนซ์"

อย่างไรก็ตาม "กรุงเทพธุรกิจ" ได้สำรวจหุ้นในดัชนี SET50 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นที่ดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในรอบ 3 เดือน หุ้นตัวใดมีการปรับขึ้นมากที่สุด (ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 18 ต.ค.2567)

1.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF 

  • มาร์เก็ตแคป 815,454 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 54.44%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 24.11%
  • P/E 49.84 เท่า
  • P/BV  7.06 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 68.25 บาท    

2.บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI 

  • มาร์เก็ตแคป 129,385 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 52.70%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 25.56%
  • P/E 12.98 เท่า
  • P/BV  1.24 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 11.40 บาท    

3.บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH    

  • มาร์เก็ตแคป 362,356 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 43.04%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 25.21%
  • P/E 25.39 เท่า
  • P/BV  8.82 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 111.50 บาท    

4.บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE   

  • มาร์เก็ตแคป 418,080 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 34.44%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 12.04%
  • P/E - เท่า
  • P/BV  5.02 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 11.90 บาท    

5.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA    

  • มาร์เก็ตแคป 32,078 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 34.37%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน -7.53%
  • P/E 7.01 เท่า
  • P/BV  0.83 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 8.40 บาท    

6.บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC   

  • มาร์เก็ตแคป 113,950 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 33.54%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 2.87%
  • P/E 20.83 เท่า
  • P/BV  3.32 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 52.50 บาท    

7.บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA 

  • มาร์เก็ตแคป 1,571,701 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 32.98%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 21.74%
  • P/E 74.80 เท่า
  • P/BV  21.21 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 130.50 บาท    

8.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC    

  • มาร์เก็ตแคป 883,340 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 32.59%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 14.67%
  • P/E 27.45 เท่า
  • P/BV  9.41 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 282.00 บาท    

9.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL     

  • มาร์เก็ตแคป 138,679 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 30.69%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 2.92%
  • P/E - เท่า
  • P/BV  0.95 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 25.00 บาท    

10.บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC    

  • มาร์เก็ตแคป 125,694 ล้านบาท
  • ผลตอบแทนจากราคา 3 เดือน 24.20%
  • ผลตอบแทนจากราคา 1 เดือน 5.41%
  • P/E 17.34 เท่า
  • P/BV  3.49 เท่า 
  • ราคาปิด 18 ต.ค.67 ที่ 48.50 บาท