นับถอยหลังศึกเลือก ‘ผู้นำสหรัฐ’ หนุนสินทรัพย์เสี่ยง ‘หุ้น-คริปโท’เด่น

นับถอยหลังศึกเลือก ‘ผู้นำสหรัฐ’ หนุนสินทรัพย์เสี่ยง ‘หุ้น-คริปโท’เด่น

โค้งท้าย ศึกเลือกตั้ง “ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่” นักวิเคราะห์ มองไม่ว่าจะเป็น ทรัมป์ หรือ แฮร์ริส ปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้าต้องเกิดขึ้นแน่นอน ขณะที่ไทยรับอานิสงส์ “ย้ายฐานการผลิต” หุ้น WHA AMATA WHAUP รับประโยชน์ ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงมีมุมมองเชิงบวก

เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน !! ก่อนที่ศึกเลือกตั้ง “ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่” จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 2567 โดย “นักวิเคราะห์” ต่างมองตรงกัน ว่า ปัจจัยดังกล่าวไม่ว่าจะเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” หรือ “คามาลา แฮร์ริส” ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่  “ปัจจัยเสี่ยง” ในเรื่องของ “สงครามการค้า” (Trade War) ก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ทว่า “ประเทศไทย” เป็นหนึ่งที่จะรับประโยชน์จากการ “ย้ายฐานการผลิต” ในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน “สินทรัพย์เสี่ยง” อย่าง “หุ้น” หรือ “คริปโทเคอร์เรนซี” ยังคงมีมุมมองเชิงบวก โดยทั้ง 2 ฝ่ายมีมาตรการที่ค่อนข้างสนับสนุน

นับถอยหลังศึกเลือก ‘ผู้นำสหรัฐ’ หนุนสินทรัพย์เสี่ยง ‘หุ้น-คริปโท’เด่น

“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ว่าผลการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน แต่ทว่าคนที่คะแนนนำมา ณ ขณะนี้ดูเหมือนจะเป็น “แฮร์ริส” และไม่ว่าหลังการเลือกตั้งใครได้คะแนนเสียงที่มากกว่า มองว่า เป็นเชิงลบ แต่ความหนักเบาจะต่างกัน ซึ่งถ้าเป็น แฮร์ริส อาจจะเบากว่า เนื่องจากภาพของ “แฮร์ริส” มีการโจมตีเป็นรายโปรดักต์ ขณะที่ “ทรัมป์” มีนโยบายขึ้นภาษีกวาดล้างไปทุกโปรดักต์

ดังนั้น ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ มองมีดาวน์ไซด์ต่อการค้าโลกต่อจีน ซึ่งมองกระทบไทยจากส่งออก เนื่องจากไทยกับจีนค่อนข้างมีทิศทางเดียวกัน เพราะไทยเป็นหนึ่งในซัพพลายเชน

โดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้ เป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้า และเริ่มเห็นกระแสย้ายฐานผลิตเริ่มเข้ามาต่อเนื่อง บวกกับเทรนด์ใหม่ ๆ อย่างดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งมองเป็นหุ้น WHA และ AMATA อีกตัวที่ถือว่าค่อนข้างโดดเด่น WHAUP ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่กลุ่มที่จะเสียประโยชน์ยังคงต้องดูเป็นรายโปรดักต์ แต่โดยรวมกลุ่มที่เป็นซัพพลายเชนให้กับจีนอาจจะยังคงมีความเสี่ยง

“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการเลือกตั้งสหรัฐก่อนหน้านั้น ที่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวมาเป็น แฮร์ริส ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างส่งผลต่อตลาดหุ้นให้ “ผันผวนมาก” กับความเหวี่ยงของแต่ละฝั่งว่าจะเป็น ทรัมป์ หรือ “โจ ไบเดน” แต่พอเปลี่ยนตัวมาเป็น แฮร์ริส ตลาดหุ้นถือว่าไม่ได้อยู่ใน “เชิงลบ”

ผลกระทบการเลือกตั้งสหรัฐกับสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้น คริปโทฯ รอบนี้ถือว่าไม่กระทบเชิงลบ แต่ตลาดหุ้นบ้านเรามีการแรลลี่ขึ้นมาค่อนข้างเร็ว บริเวณโซน 1,500 จุด โดยเป้าหมายวางไว้ที่ระดับ 1,500 จุดเช่นกัน ขณะที่ Valuation ถือว่าไม่ถูก หลังเลือกตั้งยังคงต้องมาดูนโยบายของพรรคที่จะได้รับเลือกตั้งจะเป็นในรูปแบบไหน

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า ไม่ว่าจะเป็นใครมาตรการชาตินิยม หรือการกีดกันทางการค้าที่มีกับจีนหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นหากเป็นทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งช่วงแรกในระยะสั้นความผันผวนอาจมีมาก แต่ทว่าในระยะยาวถือว่าดี ทรัมป์ที่มีนโยบายภาษีกับจีนที่ค่อนข้างโหดถึง 60% จากภาษีนำเข้า ส่วนใหญ่ส่งออกแถบเอเชียจะได้รับประโยชน์ค่อนข้างมาก หากย้อนกลับไปดูในช่วงปี 2018 การเติบโตเวียดนามโตแรงสุด ขณะที่ไทยก็โตเช่นกัน

ขณะเดียวกัน หากแฮร์ริสได้ในระยะสั้นดีกับตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เนื่องจากตลาดมีความชื่นชอบแฮร์ริสมากกว่า เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ไม่สุดโต่งเกินไปในทุก ๆ โดยช่วงหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะได้รับการเลือกตั้งครั้งนี้ คาดย้ายฐานผลิตต้องเกิดขึ้น ซึ่งหุ้นที่ได้รับประโยชน์อีกครั้งหนึ่งคือ หุ้น WHA และ AMATA จากประเด็นสงครามการค้า รวมถึงธุรกิจใหม่ดาต้าเซนเตอร์ที่มีการแถลงถึงการลงทุนในไทยด้วย ส่วนธุรกิจอื่น ๆ อย่างส่งออกยังไม่ได้มีนัยสำคัญ