SAPPE เจอยอดขายต่างประเทศกระทบ กำไร Q3/67 ที่ 300 ล้านลดลง 6 %
SAPPE กำไร Q3/67 ที่ 300 ล้านบาทลดลง 6 % ระบุชะลอตัวของยอดขายในต่างประเทศประกาศ สวนทางตลาดในประเทศเติบโต และ 9 เดือนปี 67 กำไรสุทธิ 1,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.4% คาด Q 4/67 ยังเติบโต 15-20 % ไ พร้อมรับข่าวดีจาก BOI อนุมัติเว้นภาษี 5 ปี
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE รายงานผลประกอบการของ บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE และบริษัทย่อย ตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3/2567มีรายได้จากการขายเท่ากับ 1,566.2 ล้านบาท ลดลง 6.0% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า สาเหตุจากการชะลอตัวของยอดขายในต่างประเทศ
ในทางกลับกันยอดขายในประเทศมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากกระแสรักสุขภาพที่ส่งผลโดยตรงกับกลุ่มสินค้าFunctional Category ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ สัดส่วนต้นทุนขายในไตรมาส 3/2567 ต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ 54.0% คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2 pts. เมื่อเปรียบเทียบ กับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า
เนื่องมาจากยอดขายที่ชะลอตัว ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินไทยบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศส่งผลให้สัดส่วนต้นทุนการผลิตต่อรายได้จากการขายปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารในไตรมาสนี้ (ไม่รวมผลกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) อยู่ที่ 421.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่389.3หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น8.4% ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการส่งออกจากสถานการณ์การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในตลาดต่างประเทศ
โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถเรียกเก็บเพิ่มเติมจากลูกค้าในต่างประเทศได้ และมีการรับรู้รายการดังกล่าวในรายได้อื่น รวมถึงกิจกรรมทางการขายและการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 300.3 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่มี กำไรสุทธิที่ 319.1ล้านบาท
นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิได้ 1,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 906.2 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 5,398.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 4,843.9 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1,566 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท ตามการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ เซ็ปเป้มีรายได้จากการขายในต่างประเทศงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ทำได้ 4,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศคิดเป็น 81% ของรายได้จากการขายรวม โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ที่มีกระแสตอบรับของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นแฟนคลับศิลปิน SEVENTEEN แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของแบรนด์ Mogu Mogu ส่งผลต่อยอดขายให้เพิ่มสูงขึ้น ด้านยุโรปและฝรั่งเศส ก็สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทวีปอเมริกาก็เริ่มขยายเข้าสู่ช่องทาง Mainstream ที่เน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่นได้เพิ่มมากขึ้น
ส่วนตลาดในประเทศ เซ็ปเป้มีรายได้จากการขายงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตหลักๆ มาจากผลิตภัณฑ์คอลลาเจนชนิดผง เซ็ปเป้ บิวติ พาวเดอร์ สติกซ์ (Sappe Beauti Powder Stix) ที่สามารถทำยอดขายได้ดีในช่องทาง Traditional Trade และ E-Commerce ด้วยจุดแข็งด้านราคาที่เข้าถึงง่าย และยังไม่มีคู่แข่งในตลาดนี้โดยตรง จึงเตรียมออกสูตรใหม่เพิ่มในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่มะพร้าวน้ำหอมแบรนด์ All Coco มีการเติบโตและมีดีมานด์สูงจากกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะอยู่ในช่วง Low Season ของธุรกิจ บริษัทฯได้เดินหน้าขยายฐานลูกค้าผ่านหลายช่องทาง ทั้งห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) รวมถึงจัดกิจกรรมการขายและการตลาดต่อเนื่องในทวีปต่างๆ โดยยังมีแผนปล่อยแคมเปญพิเศษของ Mogu Mogu ที่ทำกับ SEVENTEEN เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโมเมนตั้มและกระแส Brand Love ให้กับแบรนด์ในตลาดต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยอดขายในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยในเดือนเมษายน 2567 ได้ติดตั้งไลน์การผลิตไลน์บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่และเริ่มเดินหน้าผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบให้กับผู้บริโภคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในส่วนของโรงงานใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของยอดขายปี 2568 ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งยังเป็นไปตามแผนการ Commercialization ในช่วงไตรมาส 2/2568 ขณะเดียวกัน บริษัทฯได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (BOI) ของโรงงานแห่งใหม่และการเพิ่มเติมไลน์การผลิตจำนวน 3 ไลน์ เริ่มตั้งแต่ปี 2567 2568 2569 ตามลำดับ เพื่อส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการไทย และช่วยลดอัตราภาษีเงิน ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษี 5 ปี ตามลำดับ