หุ้นสหรัฐแผ่ว พาวเวลล์ชี้เฟดไม่จำเป็นต้อง 'เร่งรีบ' ลดดอกเบี้ย
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ จะทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้เวลาตัดสินใจได้ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปมากน้อยเพียงใดและเร็วเพียงใด ส่งผลตลาดหุ้นปิดลบ
“เศรษฐกิจไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ว่าเราต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ย” พาวเวลล์กล่าวในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อบรรดานักธุรกิจในเมืองดัลลัส “ความแข็งแกร่งที่เราเห็นอยู่ในเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้เรามีความสามารถในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ”
ในการประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้นำธนาคารกลางกล่าวว่าการเติบโตภายในประเทศ “ดีที่สุดเท่าที่มีมาเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ของโลก”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากล่าวว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งแม้จะมีการเติบโตของการจ้างงานออกมาน่าผิดหวังในเดือนตุลาคม ซึ่งเขามองว่าส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความเสียหายจากพายุในภาคตะวันออกเฉียงใต้และการประท้วงหยุดงาน การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม
พาวเวลล์ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่ได้คงที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและยังคงอยู่ในระดับต่ำตามมาตรฐานในอดีต
สำหรับประเด็นเงินเฟ้อ เขาระบุว่ามีความคืบหน้าในการลดเงินเฟ้อลงในระดับกว้าง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่เฟดคาดว่า เงินเฟ้อจะยังคงเคลื่อนตัวกลับไปสู่เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางต่อไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภค CPI และผู้ผลิตเพิ่ม PPI ขึ้นเล็กน้อย โดยอัตรา 12 เดือนนั้นห่างจากเป้าหมายของเฟดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์กล่าวว่าดัชนีทั้งสองบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญหรือ ดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditures:PCE) อยู่ที่ 2.3% ในเดือนตุลาคม หรือ 2.8% หากไม่รวมอาหารและพลังงาน ตัวเลข PCE ทางการยังไม่ได้เผยแพร่
“เงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมายระยะยาว 2% ของเรามากขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดนั้น เรามุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ” พาวเวลล์กล่าว โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่าการบรรลุเป้าหมายนั้น “อาจต้องเดินบนเส้นทางที่ขรุขระบ้างบางครั้ง”
มุมมองที่ระมัดระวังของพาวเวลล์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้หุ้นลดลงและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังลดความคาดหวังสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอีกด้วย
คำกล่าวดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงของธนาคารกลาง โดยมีมติลดดอกเบี้ย 0.25 % ทำให้ลดลงมาอยู่ที่ระหว่าง 4.5% ถึง 4.75% ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5 %ในเดือนกันยายน
พาวเวลล์กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการปรับเทียบนโยบายการเงินใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้เพื่อควบคุมเงินเฟ้ออีกต่อไป และขณะนี้มีเป้าหมายที่สมดุลในการรักษาตลาดแรงงานด้วย ตลาดส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25 %ในเดือนธันวาคม และอีกลดอีก 2-3 ครั้งในปีหน้า 2025
อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ไม่รับประกันในส่วนของการคาดการณ์ของตนเอง เฟดกำลังพยายามปรับอัตราดอกเบี้ยหลักให้อยู่ในระดับกลาง ซึ่งจะไม่ส่งเสริมหรือขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจุดสิ้นสุดจะเป็นอย่างไร
“เราเชื่อมั่นว่าการปรับเทียบนโยบายของเราอย่างเหมาะสม จะทำให้เศรษฐกิจและตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเงินเฟ้อจะลดลงอย่างยั่งยืนที่ 2 % ” เขากล่าว “เรากำลังปรับนโยบายไปสู่ระดับที่เป็นกลางมากขึ้นในอนาคต แต่เส้นทางที่จะไปถึงจุดนั้นยังไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า” พาวเวลล์กล่าวเสริมว่าการคำนวณเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยเป็นกลางนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
“เรากำลังหาทางระหว่าง ความเสี่ยงที่เราเคลื่อนไหวเร็วเกินไปและความเสี่ยงที่เราเคลื่อนไหวช้าเกินไป เราต้องการไปตรงกลางและทำให้มันถูกต้องพอดี เพื่อที่เราจะสามารถให้การสนับสนุนตลาดแรงงานได้ แต่ก็ช่วยให้เงินเฟ้อลดลงด้วย” เขากล่าว “ดังนั้น หากเราเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่ชาญฉลาด”
นอกจากนี้ เฟดยังคงลดการถือพันธบัตรลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่ากระบวนการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
หุ้นสหรัฐร่วงลงหลังได้สัญญาณพาวเวลล์
ปิดตลาดเมื่อคืน ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 43,750.86 จุด ลดลง 207.33 จุด หรือ 0.47% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,949.17 จุด ลดลง 0.6% ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ปิดที่ 19,107.65 จุด ลดลง 0.64%
หุ้นร่วงลงเล็กน้อย หลังจากที่พาวเวลล์ กล่าวว่าธนาคารกลางไม่จำเป็นต้อง “รีบร้อน” ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยดัชนีดาวโจนส์ซึ่งมีหุ้น 30 ตัวร่วงลงมากกว่า 250 จุดในช่วงที่ราคาต่ำสุดของการซื้อขาย
การเทรดที่เรียกว่า “การซื้อขายทรัมป์” ก็สูญเสียแรงส่งเช่นกัน เนื่องจากตลาดเริ่มลดความร้อนแรงลง หุ้นTesla ร่วงลง 5.8% ขณะที่ดัชนี Russell 2000
ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับหุ้นขนาดเล็ก ร่วงลงมากกว่า 1% และทำผลงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลัก
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนตุลาคมที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำการสำรวจโดย Dow Jones อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในรอบ 12 เดือนอยู่ที่ 2.4%
หากไม่รวมอาหารและพลังงาน ดัชนี PPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อัตราเงินเฟ้อในรอบ 12 เดือนอยู่ที่ 3.1%
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนตุลาคมออกมาตามที่คาดไว้ในวันพุธ แต่ถึงกระนั้นก็ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐยังคงต้องต่อสู้กับเงินเฟ้อต่อไป ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI)เพิ่มขึ้น 0.3% เป็นเดือนที่สามติดต่อกัน โดยอัตรา 12 เดือนอยู่ที่ 3.3%
นักลงทุนกำลังพิจารณาว่าการฟื้นตัวหลังการเลือกตั้งหลังจากชัยชนะเด็ดขาดของโดนัลด์ ทรัมป์จะยังมีโอกาสเกิดขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากที่ดัชนีหลักๆ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงกว่า 44,000 จุดเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ และทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่
“ความจริงที่ว่าสัปดาห์ก่อนเราประสบกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ ตอนนี้เรากลับมีอาการเมาค้างและรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย” เจย์ วูดส์ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดโลกของ Freedom Capital Markets กล่าว “แต่เรายังคงรักษาระดับการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เอาไว้ ดังนั้น ผมคิดว่าสัปดาห์นี้น่าจะเป็นสัปดาห์ที่ดี”
ที่มา: CNBC