คดีหมอบุญสะเทือนครั้งใหญ่ ดึง “บิ๊กเนม“ – การเมือง –ตระกูลดัง” ปล่อยกู้
เคสสั่นสะเทือนตลาดหุ้นไทยล่าสุด การออกหมายจับ “นพ.บุญ วนาสิน” ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรีและผู้ถือหุ้นบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG และพวกรวม 9 คน
ยังอยู่ในระหว่างการตามจับและรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” หากแต่ยังเป็นการเขย่าธุรกิจในมุมสีเทาวงการตลาดทุน
จากการทำธุรกรรม “ปล่อยกู้จากจำนำหุ้นนอกตลาด” ผ่านตัวกลางในตลาดหุ้นไทยทั้งโบรกเกอร์ –มาร์เก็ตติ้ง กันเป็นเรื่องปกติจนเรื่องมาแดงปี 2566 และหนักสุดปี 2567 ที่มีคดีฟ้องร้อง “จ่ายเช็คเด้ง” กระหึ่มตลาดหุ้นไทยจนมีกระแสเจ้าหนี้เร่ขายเปลี่ยนมือกันจำนวนมากก่อนเรื่องจะดังส่งท้ายปี
ด้วยผลกระทบไม่ได้มีเพียงผู้เสียหายจากการปล่อยกู้ที่ตบเท้าเข้าดำเนินการฟ้องร้อง แต่ยังมี กลุ่มผู้เสียหายที่ยังไม่กล้าเปิดหน้าออกมาสู้คดี เพราะเกี่ยวพันเป็น “ผู้บริหารบจ. ใหญ่ในตลาดหุ้น” “ตระกูลนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง” “ตระกูลนักการเมือง” และยังมี “ผู้บริหารในวิชาชีพหมอ”
โดยกลุ่มทุนดังกล่าวมีทั้งผู้บริหารใน "ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง" กลุ่มตระกูลเศรษฐีใหญ่ของไทย "อดีตทำธุรกิจโทรคมนาคม" รวมทั้งยังมีคนในตระกูลนักการเมืองที่ผันตัวมาทำ "ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์" "กลุ่มธุรกิจบันเทิง"ตามห้างสรรพสินค้า ล้วนแต่เผชิญเจอเคสเดียวกัน คือ เชื่อถือจนยอมปล่อยกู้ “หมอบุญ”
กลุ่มทุนใหญ่ดังกล่าวได้รับการเสนอผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูงระดับ 8-9 % บวกกับความน่าเชื่อถือ – ธุรกิจที่ดำเนินการ จนกล้าปล่อยกู้ในจำนวนเงินที่สูงระดับพันล้านบาทจนถึงหมื่นล้านบาท !!
รวมทั้งเพื่อน รุ่นน้อง และลูกน้องระดับผู้บริหาร “หมอบุญ” ต่างได้รับการชักชวนให้ลงทุนในหุ้นไอพีโอ THG โครงการในอนาคตที่จะดำเนินการ ยิ่งในช่วง “โควิดระบาดหนัก” ทำเกิดความน่าเชื่อถือมีผู้ที่เข้าไปร่วมลงทุนใส่เงินโดยมีหุ้นหรือสินทรัพย์ค้ำประกันกลายเป็นโปรเจกต์ทิพย์
โดยบางรายเป็น “หมอ” ซึ่งเป็นผู้บริหารในธุรกิจโรงพยาบาล THG ได้รับการชักชวนลงทุน ระดับ 60-70 ล้านบาท ได้รับข้อเสนอแลกดอกเบี้ยสูงตั้งแต่ปี 2565 แต่ปรากฎไม่เคยได้รับดอกเบี้ยคืนและทวงถามเงินลงทุนได้รับการบ่ายเบี่ยงจนกลายเป็นคดีดังกล่าว
หากวัดจากความเสียหายที่มีการยื่นคดีอย่างเป็นทางการที่ 7,500 ล้านบาท แต่มีการคาดการณ์ “แทนคุณ จิตต์อิสระ” ประธานชมรมสันติประชาธรรม ยังมีผู้เสียหายเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความดำเนินคดีและคาดว่าหลังจากวันที่ 12 ธ.ค.นี้จะมีผู้เสียหายอีกมาก คาดว่าจะมีจำนวน 500-600 ราย จากตั๋วเงินที่ใช้แทนหุ้นชุดเดิมจะหมดอายุหรือถึงกำหนดชำระซึ่งคาดว่าน่าจะไม่มีการชำระ
ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ออกมาฟ้องร้องดำเนินคดี คาดว่าตัวเลขความเสียหายพุ่งถึง 20,000 -40,000 ล้านบาท