NUSA แก้งบปี 66 ขาดทุนเพิ่มเป็น 788 ล้านจากลูกหนี้เพิ่ม-ด้อยค่าลงทุนตป.
NUSA ส่งงบแก้ไขปี 2566 ขาดทุนหนักเพิ่มเป็น 788 ล้านเพิ่มขึ้น 214 ล้านบาทจากปีก่อน จากรายการกู้ยืมในเครือ -ลูกหนี้การค้าเพิ่ม 177 ล้านบาท และตั้งค่าเผื่อด้อยค่าเงินมัดจำค่าซื้อเงินลงทุนต่างประเทศปี 65 และ 66 จำนวน 645 ล้านบาท และ 728 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้สินทรัพย์ลดลง
บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ชี้แจงว่า งบกำไรขาดทุนสำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 บริษัทฯ ได้มีการปรับปรุงงบการเงินประจำปี 2566 ตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งส่งผลกระทบต่องบการเงินจากที่เคยรายงานไว้โดยสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจากที่เคยรายงานจากการตั้งค่าเผื่อด้อย ค่าเงินมัดจำค่าซื้อเงินลงทุนในบริษัทในต่างประเทศ จำนวน 728 ล้านบาท (ปี2565 ลดลงจำนวน 645 ล้านบาท) และงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จมีผล ขาดทุน เพิ่มขึ้น 91 ล้านบาท ( ปี2565 มีผลขาดทุนเพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท)
โดยมีรายได้รวมตามงบการเงินรวม จำนวน 1,789 ล้านบาท ลดลงจำนวน 248 ล้านบาทหรือลดลง 12 % จากปีก่อน มาจาก 1. รายได้จากการขายลดลงจำนวน 472 ล้านบาท หรือลดลง 87 % จากปีก่อน โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายในปี 2565 คือ Antigen Rapid Test Kit จำหน่ายโดยบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์(ประเทศไทย) จำกัด สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ในปัจจุบัน ได้ผ่อนคลายลงทำให้การจำหน่ายสินค้าดังกล่าวลดลงตามไปด้วย
2. รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวน 35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7 % จากปีก่อน สืบเนื่องมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ยกแปลงของโครงการแห่งหนึ่ง จำนวน 187 ล้านบาท 3. บริษัทมีกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนในตราสารทุน จากการประเมินมูลค่าหุ้นสามัญของ บริษัท วินด์เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ณ 31 ธันวาคม 2566 เกิดผลต่างทางกำไรลดลงจำนวน 115 ล้านบาท หรือลดลง 49 % จากปีก่อน
ต้นทุนขายสินค้า สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 121 ล้านบาท ลดลงจำนวน 246 ล้านบาท หรือ 67 % จากปีก่อน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับรายได้จากการขายที่ลดลง และบริษัทมีอัตราขาดทุนขั้นต้นอยู่ที่49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69 เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องระบายสินค้า Antigen Rapid Test Kit เพราะ สถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ในปัจจุบัน ได้ผ่อนคลายลง ทำให้สภาพคล่องในการหมุนเวียนสินค้าลดลง
โดยต้นทุนขาย ดังกล่าวรวมไปถึงการตั้งค่าเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้าด้วย ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 446 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 86 ล้านบาท หรือ 24 % จากปีก่อน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับรายได้ที่เพิ่มขึ้น และบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 18 ซึ่งลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน
ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการ สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4 % จากปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 137 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22 % จากปีก่อน ส่วนใหญ่มาผลจากการดำเนินงานของบริษัทย่อยและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน
ต้นทุนทางการเงิน สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 87 ล้านบาท หรือเพิ่ม 31 % จากปีก่อน ซึ่งผันแปรตามหนี้สิน ประเภทเงินกู้ยืมและหุ้นกู้
ขาดทุนสุทธิ ผลการดำเนินงานรวม สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 839 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 260 ล้านบาทจากปีก่อน ซึ่งส่วน ใหญ่เกิดจากการรับรู้ผลขาดทุนของกิจการร่วมค้า จำนวน 231 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ขาดทุนสุทธิ ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับงวดสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 788 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 214 ล้านบาทจากปีก่อน
ฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 14,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 96 ล้านบาทจากสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 1. เงินให้กู้ยืมบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน เพิ่มขึ้น 188 ล้านบาท โดยเป็นเงินในกู้ยืมภายในเครือ เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
2. ลูกหนี้อื่นระยะยาวเพิ่มขึ้น 177 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการขายยกโครงการที่ยังค้างชำระ จำนวน 98 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยค้างรับของ บริษัทในเครือ 3. ผลกระทบจากการปรับปรุงงบการเงินซึ่งมีการตั้งค่าเผื่อด้อยค่าเงินมัดจำค่าซื้อเงินลงทุนในบริษัทในต่างประเทศ ในปี 2565 และ 2566 จำนวน 645 ล้านบาท และ 728 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้สินทรัพย์ลดลงตามไปด้วย
ในขณะเดียวกันบริษัทฯ มีหนี้สินรวม 5,786 ล้านบาท ลดลงจำนวน 327 ล้านบาทจากหนี้สินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยส่วนใหญ่เป็นการ ลดลงจากเงินกู้ยืมระยะสั้นกิจการที่เกี่ยวข้อง ลดลงจำนวน 354 ล้านบาท เงินกู้ยืมสถาบันการเงินลดลง 334 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 506 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5 % บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 0.63 ลดลงจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.70 การปรับปรุงงบการเงิน