โบรกคาด‘กำไรบจ.’ปี68ทะลุ20% รับ ‘บริโภคเอกชน-รัฐกระตุ้นศก.’ หนุน

โบรกคาด‘กำไรบจ.’ปี68ทะลุ20%  รับ ‘บริโภคเอกชน-รัฐกระตุ้นศก.’ หนุน

“บล.อินโนเวสท์” คาดกำไรบจ. ปีหน้า พุ่งแรง 22% อานิสงส์เศรษฐกิจโลก-ไทยฟื้นตัวดี พร้อมสแกน “ธุรกิจเวลท์เนส-ดาต้าเซ็นเตอร์-ธีมอีเอสจี” เป็นจุดแข็ง ดันผลตอบแทนหุ้นไทยขยับขึ้น เกาะค่าเฉลี่ยตลาด จากรั้งท้ายช่วง 2 ปีติด “บล.กสิกรไทย-บล.บัวหลวง” ประเมินกำไรบจ.โต 9-10%

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2568 เติบโต 22% หากไม่นับรวมธุรกิจที่มีความผันผวนในปีนี้ เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย จะเห็นภาพรวมกำไรบจ. ในปีนี้ยังเติบโตดีและดีต่อเนื่องในปีหน้าด้วย

สำหรับ ธุรกิจยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตดีได้แก่ กลุ่มเวลท์เนส ดาต้าเซ็นเตอร์ และธีมการลงทุนอีเอสจี ถือเป็นจุดแข็งและมีหุ้นทีสามารถลงทุนได้ในปีหน้า อีกทั้ง ในปีหน้ายังปัจจัยสนับสนุน จากการฟื้นตัวของศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น และเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ดังนั้น มองว่าหลังจากหุ้นไทยสงบมาแล้ว 2 ปี ซึ่งขณะนี้ผลตอบแทนอยู่อันดับรั้งท้าย คาดว่าปีหน้าผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย ควรจะขยับขึ้นในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยตลาดได้ ถือเป็นเรื่องที่ดี และในระยะยาว 5 ปี แนวโน้มหุ้นไทยยังสดใส

โบรกคาด‘กำไรบจ.’ปี68ทะลุ20%  รับ ‘บริโภคเอกชน-รัฐกระตุ้นศก.’ หนุน

"มองตลาดหุ้นไทยภายในสิ้นปีนี้ ด้วยไหลเข้าเม็ดเงินกองทุน ThaiESG ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท และพูดกันที่ AUM ระดับ 2-3 หมื่นล้านบาท อาจยังไม่ใหญ่พอหนุนดัชนีหุ้นไทยเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขนเงินออกจากตลาดหุ้นไทยไปกว่า 3 แสนล้านบาท”

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติระดับดังกล่าว ถือว่าไหลออกไปมากแล้ว และส่วนหนึ่งเป็นธุรกรรมชอร์ตเซล ทำให้หุ้นในมือต่างชาติเบาลงไปๆ และจากที่เราได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ที่เป็นลูกค้าหลายคน พบว่า หายืมหุ้นมาชอร์ตยากขึ้นเราถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้น ไม่เหมือนในอดีตที่ต่างชาติยืมหุ้นมาชอร์ตได้ง่ายๆ เมื่อเทยบกับตอนนี้อยากจะชอร์ตแต่ก็แทบไม่มีของเลย

นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรบจ. (EPS) ของ SET index ในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 95 บาท หรือเติบโต10% จากปี 2567 โดยแนวโน้มของการเติบโตหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และการเร่งเบิกจ่ายของงบประมาณปี 2568ที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังคงต้องติดตามสงครามการค้า (trade war) และความไม่แน่นอนของกำแพงภาษีจากสหรัฐ

สำหรับ ภาพกลุ่มอุตสาหกรรม (sector) ที่คิดว่ากำไรเติบโตดีมีอัปไซด์ เช่น กลุ่มไฟแนนซ์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีโอกาสลดลงได้ราว 2 ครั้งในปี 2568 คาดต้นทุนการเงิน (funding cost) มีโอกาสลดลงตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นต้นไป

ทางด้าน กลุ่มเฮลท์แคร์มีอัปไซด์การปรับประมาณการของโรงพยาบาลเอกชน จากการกลับมาของคนไข้ คูเวต และ การเติบโตของคนไข้ต่างชาติ และในส่วนการประกัน มีการจ่ายค่าใช้จ่ายที่สูง (High cost care) ตลอดปีจะเป็นการป้องกันดาวน์ไซด์ (downside protection) ให้แก่ โรงพยาบาลประกันสังคมแนะนำ PR9 , BCH

ขณะที่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีอัปไซด์มาจากการปรับต้นทุนลดลงของ ราคาน้ำตาล, PET resin และ ต้นทุนขวดแก้วที่เป็น เศษแก้ว และราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงในปีหน้า แนะนำ OSP, SAPPE

รวมถึงกลุ่มสื่อสาร มีอัปไซด์ มาจากการประมูลที่ราบรื่นกว่าที่เราคาดและต้นทุนของใบอนุญาติ น้อยกว่าคาด และกลุ่มค้าปลีก มีอัพไซด์มาจาก การฟื้นตัวของเศษฐกิจและยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา (sssg) ที่ดีกว่าคาดและมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจที่จะเริ่มออกมาตั้งแต่ใน ไตรมาส 1 ปี 2568 เป็นต้นไปอย่างดิจิทัลวอลเล็ต (digital wallet)

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่าทีม Wealth Researchคาดการณ์กำไรบจ.ปี 2568 ที่ 95 เพิ่มขึ้น 9% จากคาดการณ์กำไรปี 2567 ที่ 87 ข้อมูล ณ 11 ธ.ค. 2567 โดยเแนวโน้มกำไร บจ. ในปี 2568 คาด EPS อยู่ที่ 95 นั้น เราปรับลดลจากตลาดคาดที่ 97 หรือราว 2% เพราะเราเชื่อว่าตลาดทำสูงเกินไปจากทั้ง top-down และ bottom-up

โดยประเมินว่า 1.กำไรช่วงปกติ (Normalization growth) ของหุ้นไทยอยู่แค่ราว 5% ต่อปี ต่ำกว่ำที่ตลาดคาดว่าจะโต 11% 2. ปกติช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจช่วงปลาย (Global late cycle) มักเห็นการ ปรับลดจีดีพีโลกราว 0.3-0.5% และปรับลดลง จีดีพีไทย แรงกว่าโลกราว 2-3 เท่า จึงประเมินความเสี่ยงขาลง (downside) ของกำไรตลาดหุ้นไทยจากตลาดทำราว 2-4% 3.กำไรของหุ้น under coverage ของไทยต่ำกว่าตลาดราว 2-3%

อย่างไรก็ตามประเมินว่า กลุ่มอุตสาหกรรม หลักๆ ที่กำไรยังเติบโตดีต่อเนื่องในปีหน้าเช่น ปิโตรเครมี เป็นglobal late cycle loser ตามผลการศึกษาของเรา ดังนั้นประเมิน SET target ปี 2568 อยู่ที่ 1,485 จุด (จากปี 2568 คาด EPS 95 เติบโต 9%, PER 15.7 และ -0.5SD)

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนยังเน้น “เลือกหุ้น” ประเมินหุ้นเด่นที่คาดกำไรไตรมาส 4 ปี 2567 เติบโตดีขึ้นทั้งจากปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงราคาหุ้น ยังไม่ตึงเกินไป และปันผลสูง