จับตา ‘สงครามการค้า' รอบใหม่ ‘เวียดนาม’ รับอานิสงส์ หนุนดัชนีฟื้น
สงครามการค้า รอบใหม่ ‘เวียดนาม’ รับอานิสงส์ หนุนดัชนีฟื้น มีการเติบโตได้เร็วสุดในภูมิภาค และมีมูลค่าการผลิตสูงเกือบแสนล้านดอลลาร์ "ดร.นิเวศน์" เผย เวียดนามเติบโตได้ดี แม้มีมาตรการต่าง ๆ เข้ามากระทบ แต่ถือว่าน้อยมาก เพราะไม่อิงกับ Geopolitics มากเกินไป
หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” หวนกลับคืนสู่สังเวียน “ประธานาธิบดีสหรัฐ” อีกครั้ง !! ประเด็น “สงครามการค้า” (Trade War) ระหว่างสหรัฐและจีนกลับมา “รุนแรง” อีกครั้ง ส่งผลให้ธุรกิจต่างชาติตั้งรับกันวุ่นวาย สร้างแรงกระเพือมให้เกิดการย้ายฐานการผลิตกันระลอกใหม่... และหนึ่งในประเทศในกลุ่มอาเซียนที่กำลังเนื้อหอม คงไม่พ้น “ประเทศเวียดนาม”
สะท้อนผ่าน “รอยเตอร์” ระบุว่า บริษัทต่างชาติมีการเข้ามาลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายกำลังการผลิตของชิป ซึ่งเป็นการขยายฐานการผลิตออกจาก “ประเทศจีน” ที่ได้รับผลกระทบและแรงกดดันจากสหรัฐ แม้ว่าปัจจุบันภาคการผลิตของจีนและไต้หวันจะเป็น “ผู้นำตลาด” ทว่าล่าสุดเวียดนามถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการเติบโตได้อย่างรวดเร็วสุดในภูมิภาค และมีมูลค่าการผลิตสูงเกือบ “แสนล้านดอลลาร์”
ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” วิเคราะห์หากเกิด Trade War รอบใหม่ สินค้า เช่น สมาร์ทโฟน , แท็บเล็ต , โน้ตบุ๊ค เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า กล้องดิจิทัล เกม ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ที่ยังไม่เคยโดน “เก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม” จากสงครามการค้ารอบแรก ก็จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และมีแนวโน้มจะเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก โดยเวียดนามได้อานิสงส์ในสินค้ามีมูลค่าเพิ่มอย่างโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หูฟัง ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์ ขณะเดียวกัน “กูรู” มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามก็จะได้รับรับอานิสงส์จากการมาของ “ทรัมป์” จากนโยบายการค้านี้ด้วยเช่นกัน
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เวียดนามจะได้รับอานิสงส์มากที่สุด หากบริษัทต่าง ๆ มองว่ามาตรการของ “ทรัมป์” จะทำให้ส่งออกจากจีนได้ “ลำบาก” ก็ต้องหันมาตั้งฐานการผลิตที่เวียดนาม แต่ก็ต้องเข้าใจว่าสหรัฐอาจจะรู้ทัน และเวียดนามอาจจะต้องโดนภาษีไปด้วย แต่ทว่าผลกระทบมากน้อยแค่ไหนยังคงต้องรอติดตามมาตรการต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะนโยบายก่อนเลือกตั้งสหรัฐและหลังเลือกตั้งมีการเปลี่ยนแปลงได้
“นโยบายทรัมป์ก่อนเลือกตั้งหลายคนมองว่า ไม่สามารถเป็นไปได้ถ้าทำอย่างนั้นสหรัฐจะลำบากด้วย ดังนั้น คาดว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่ในทางบวกกับเวียดนามมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นมาตลอด และเวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง”
โดยปัจจุบันเวียดนามมีการเติบโตได้ดี แม้จะมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามากระทบแต่ถือว่าน้อยมาก รวมถึงเวียดนามไม่อิงกับ Geopolitics มากเกินไป แต่มีการสนใจด้านการค้าที่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเวียดนามปัจจุบันยังอยู่ในระดับทรงตัว เนื่องจากว่ายังคงได้รับปัจจัยอื่น ๆ เข้ามากระทบไม่ว่า จะเป็นเรื่องของหนี้สถาบันการเงิน เป็นต้น แต่ทว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ มีหุ้นที่สามารถ Outperform ได้ไม่น้อย ซึ่งถือว่าสำคัญ หากเลือกหุ้นที่ถูกตัวก็จะได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดี
“ต่อให้เศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัว แต่ผลิตภัณฑ์หรือสินค้ายังขายได้ดี มีการเติบโต เพราะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในการใช้สินค้า รวมถึงมีการส่งออกที่เวียดนามกำลังทำได้ดี เพราะคนต้องการกระจายความเสี่ยงมาซื้อสินค้าจากเวียดนามแทนที่จะทุ่มเทซื้อสินค้าจากจีนทั้งหมด”
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม ว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะได้รับอานิสงส์จากการที่ทรัมป์จากนโยบายการค้า China Plus One คือ การกระจาย Supply Chain แต่ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ทรัมป์ต้องการทำกำแพงภาษีทุกประเทศ 10% ซึ่งถ้าทรัมป์ทำจริงทั้งหมดรวดเดียวนั่นแปลว่า ทรัมป์จะเป็นศัตรูกับทั้งโลกเลย
โดยส่วนตัวมองว่า “ทรัมป์” น่าจะต้องกลับไปทบทวนหรือคิดให้รอบครอบ โดยมีนักวิชาเสนอ และคาดว่า “ทรัมป์” อาจจะเลือกทางนี้คือ อาจจะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามากที่สุด
ดังนั้น เวียดนามถือเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นในยุคที่จีนมีปัญหาด้านสงครามการค้ากับสหรัฐ ซึ่งมองในระยะสั้นเวียดนามจะได้รับประโยชน์ แต่ต้องดูนโยบายของทรัมป์ว่าหากมีการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศที่เสียดุลการค้ามาก ๆ เวียดนามก็จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายเช่นกัน
“ตลาดหุ้นเวียดนามจุดแข็งอยู่ที่ Valuation ถ้าเทียบกับ P/E ก็ยังอยู่ต่ำ หากเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ยังถือว่า ถูกอยู่ ขณะที่การเติบโตไม่ได้มีปัญหา เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มบางเบาลง”
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลต่อไปว่า หลายบริษัทมีโอกาสย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม หรือไทยเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งไปที่สหรัฐอีกทีหนึ่ง ซึ่งโดยปกติจะเริ่มเห็นซัพพลายเชนเริ่มไหลมาฝั่งอินเดีย และเวียดนามมากขึ้น ตั้งแต่ 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า FDI หรือ มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนลดลง
ส่วนกรณีที่สหรัฐขึ้นภาษีจีนจริงจะมีสินค้าทะลักเข้ามายังไทยและอาเซียน อาจจะมีความเสี่ยง เนื่องจากคาร์แลกเตอร์สินค้าจีนและเวียดนาม หากเป็นสินค้าเบสิกคุณภาพและสินค้าจะไม่ต่างกัน ผลกระทบไม่มากเท่ากับไหลมาทางไทยที่จะกระทบมากว่า
“ตลาดหุ้นเวียดปัจจุบันยังชื่นชอบอยู่ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบกับสภาพคล่องยังคงมีความผันผวนของราคาหุ้น แต่ถ้ามอง Valuation กับ Earnings Growth ในปีหน้ายังอยู่ในระดับที่น่าสนใจคาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 24 -25% เป็นอัตราการเติบโตของรายได้ที่น่าสนใจของตลาดหุ้นเวียดนาม”