เปิด 11 ดัชนีหุ้นทั่วโลก - สินทรัพย์ทางเลือก ปี 67 บิตคอยน์พุ่งแรงสุด 121%
เปิด 11 ดัชนีหุ้นทั่วโลก - สินทรัพย์ทางเลือก ปี 67 บิตคอยน์พุ่งแรงสุด 121% ตามติดมาด้วยทองคำ 26.09% ส่วนหุ้นไทยดิ่งหนักสุดติดลบที่ 1.46%
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกและสินทรัพย์ทางเลือกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชนะการเลือกตั้ง โดยเฉพาะบิตคอยน์พุ่งแรงแซงโค้งสินทรัพย์อื่น ๆ ขณะที่ ดัชนี Nasdaq S&P 500 Dow Jones ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่ดัชนีภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นตามมาติด แต่ทว่า ดัชนีหุ้นไทยยังคงติดลบอยู่เล็กน้อย โดยกูรู ระบุว่า ในปีหน้า หุ้นไทย และหุ้นโลก รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกยังไปได้ต่อ แต่ยังมีบางปัจจัยที่ยังคงต้่องระมัดระวัง
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ทางเลือกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 โมเมนตัมยังคงเป็นบวก จากกระแสนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเป็นมิตรกับตลาดหุ้นสหรัฐปรับมาเป็นบวกได้
อย่างไรก็ตาม หุ้นสหรัฐ Valuation เริ่มค่อนข้างแพง รวมถึง Earning Yield Gap เมื่อนำไปลบกับพันธบัตรอายุ 10 ปียังคงติดลบอยู่เล็ก ๆ นั่นแปลว่า ซื้อบอนด์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อหุ้น จึงทำให้ความผันผวนของหุ้นมากขึ้น และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องระมัดระวังในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568
ขณะที่ฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะจีนปี 2568 จีดีพีอาจจะไม่ถึง 5% โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จีดีพีของจีนน่าจะอยู่ที่ 4.4-4.5% เพราะฉะนั้นจะเห็นการเติบโตของจีนแบบชะลอตัวต่อไป แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตา ตลาดหุ้นจีนจะทนแรงกดดันจากมาตรการของทรัมป์ได้มากน้อยแค่ไหน
และทางการจีนจะมีมาตรการอะไรใหม่ ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากทางการจีนไม่ได้มีมาตรการใหม่ ๆ ออกมาอาจจะเห็นดาวน์ไซด์ หรือการปรับตัวของตลาดหุ้นจีน เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นจีนยังไม่ได้รับข่าวเชิงลบด้านกำแพงภาษีสหรัฐมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบจากปี 2018 ที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงไปกว่า 30% ดังนั้นตลาดหุ้นจีนในระยะสั้น และระยะยาว ยังคงมีความเสี่ยงอยู่
ส่วนตลาดหุ้นอินเดียปี 2568 จะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตมาที่อินเดียเพิ่มขึ้น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 เพิ่มขึ้นด้วย ขณะเดียวกันอินเดียมีการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางของอินเดีย ส่งผลให้นโยบายการเงินน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ก.พ.2568 ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นอินเดีย
ขณะเดียวกันในฝั่งของหุ้นไทยมีทั้งบวกและลบ ซึ่งฝั่งบวกในปี 2568 มาตรการที่รัฐบาลเข้ามากระตุ้นเริ่มที่จะเห็นผล โดยเฉพาะมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 น่าจะออกต้นปี 2568 ได้ เช่นเดียวกัน Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษี 2568 เป็นการกระตุ้นดีมานด์ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกในช่วงระยะสั้นๆ
นอกจากนี้ มาตรการระยะกลางถึงยาว เริ่มจากการเบิกจ่ายงบประมาณของทางภาครัฐคาดว่า คงไม่ได้ล้าช้าเหมือนปี 2567 ซึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นจีดีพีของไทยได้ รวมถึงท่องเที่ยว 35 -40 ล้านคน คาดว่าจะเป็นไปได้ตามเป้าไม่ได้ต่างจากปี 2567 ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจได้
ส่วนการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต้องพิจารณาดูอีกครั้งว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2567 หรือไม่ และส่งออกมองว่า ยังสามารถโตต่อเนื่องเนื่องในครึ่งปีแรกของปี 2568 ซึ่งจะเข้ามาช่วยดันตลาดหุ้นไทย
นอกจาก ปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. อีกสักหนึ่งครั้งในปี 2568 ซึ่งน่าจะเป็นโมเมนตัมเชิงบวกได้ในช่วงสั้น ๆ แต่ทว่าในระยะยาวบ้านเราแม้จีดีพีจะโตได้ประมาณเกือบ 3% และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย จีดีพีโตในระดับ 5-6% ซึ่งไทยยังโตน้อยกว่า รวมถึงปัญหาทางการเมืองยังคงต้องจับตาอยู่
และความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยตั้งแต่เดือนก.ย.-ธ.ค.2567 มีการปรับตัวเพิ่มและลงค่อนข้างเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพของตลาดทุนไทยต่อความเชื่อมั่น หากมีการปรับแก้ไขได้จะทำให้ต่างชาติเชื่อมั่นได้มากขึ้น โดยรวมยังคงมองตลาดหุ้นไทยเป็นกลาง ซึ่งในปี 2568 คาดว่าจะยังพอเห็นดัชนีแตะที่ 1,500 - 1,550 จุดได้ ซึ่งยังคงเป็นภาพของไซด์เวย์อัพ
ส่วนญี่ปุ่นปี 2568 จีดีพีโตได้ที่ 1% ขณะที่เงินเฟ้อมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปรับค่าแรงยังคงมีการเพิ่มต่อ นั่นแปลว่า จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อญี่ปุ่น ขณะที่ BOJ อาจจะใช้มาตรการในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เป็นการทยอยปรับขึ้น และก่อนจะมีการปรับขึ้นอาจจะมีการส่งสัญญาณก่อน ซึ่งคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงปลายไตรมาส 1/68 หรือต้นไตรมาส 2/68 และจะส่งผลให้ค่าเงินเยนมีการแข็งค่าขึ้น และจะเห็นการปรับย่อตัวของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งยังคงต้องระมัดระวัง
ขณะเดียวกันเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ earning ในปีหน้าเติบโตได้ในระดับเกือบ 20% ซึ่งจะได้รับอานิสงส์บวกเหมือนกับอินเดีย หากสหรัฐแบนจีน จะทำให้กลุ่มการผลิตมีการย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนามเพิ่มขึ้น ทำให้โมเมนตัมเวียดนามดูดีขึ้น และ Valuation ยังไม่แพงมากนัก แต่ทว่าสิ่งที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของสภาพคล่อง ดังนั้นนักลงทุนควรมีในพอร์ตไม่เกิน 10-15% เนื่องจากยังเป็น Frontier Market
สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกในปี 2568 โดยเฉพาะน้ำมันราคาคาดว่ายังคงนิ่งในระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตได้ 2% ขณะที่จีนก็มีการเติบโตได้น้อย รวมถึงหากมีกำแพงภาษีเข้ามาก็จะทำให้เกิดการชะลอตัวได้
ในส่วนของ ราคาทองคำ ปี 2567 ค่อนข้างปรับตัวมาได้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัง คือเงินเฟ้อ ปีหน้า 2568 จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นมา และหากย้อนไปดูในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากปี 2568 เงินเฟ้อเกิดการชะลอตัวไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก คาดว่าในครึ่งปีแรกของปี 2568 ทองคำยังทรง ขณะที่ครึ่งปีหลังของปี 2568 คาดว่า ทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้