LTF จ่อครบ 2 แสนล้าน ‘สมาคม บลจ.’ ชี้กระทบ ‘หุ้นไทย’ ไม่แรง โยกเงินเข้า ThaiESG

LTF จ่อครบ 2 แสนล้าน ‘สมาคม บลจ.’ ชี้กระทบ ‘หุ้นไทย’ ไม่แรง โยกเงินเข้า ThaiESG

“กองทุน” ประเมินเงิน “LTF” ครบกำหนดปี 68 ราว 2.4 แสนล้าน คาดไม่ปั่นป่วนตลาดหุ้น “สมาคม บลจ.” ยันนักลงทุนไม่ต้องกังวลที่ผ่านมาไม่มีเงินไหลออกอย่างมีนัยสำคัญ “บลจ.กรุงศรี” ชี้ต้นทุนเดิม ดัชนีที่ 1,620 จุด เม็ดเงินราว 3.5 หมื่นล้านบาท หากโดนเทขายหมด ไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนีฯ

ในปี 2568 !! จะเป็นปีแรกที่ “เม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว” หรือ LTF ประมาณ 2.40 แสนล้านบาท สามารถ “ขาย” ได้ทั้งหมด แต่คาดว่าช่วงต้นปีหน้าจะเห็นการทยอยขาย LTF ออกมาในบางส่วนเท่านั้น เพราะในบางส่วนมีผู้ลงทุน LTF ที่ลงทุนแล้วถือในระยะยาว ไม่ได้มีพฤติกรรมการขายในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม หากดูสถิติการลงทุน หรือ การซื้อขาย LTF จะพบการขายในช่วงต้นปีประมาณ 80,000 ล้านบาท ดังนั้น อาจจะส่งผลให้ “ดัชนีหุ้นไทย” (SET INDEX) เผชิญความผันผวนได้ในช่วงต้นปี โดยจากแรงขายจาก LTF ประมาณ 1 ใน 3 ของที่ขายได้

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส มีมุมมองว่า ในเวลาช่วงที่เหลือของปี 2567 คาดเม็ดเงินไหลเข้า “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” (THAIESG) ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่เต็มที่ เพราะอาจถูกแบ่งเข้าไปใน “ตลาดตราสารหนี้” ครึ่งหนึ่ง รวมถึงตลาดหุ้นยังถูกกดดันจากการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดอายุ และบางส่วนสลับเข้ามาซื้อกองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้แทน นอกจากนี้ ในช่วงต้นปีหน้า “ตลาดหุ้นไทย” จะเผชิญเม็ดเงินกองทุน  LTF ทั้งหมดพร้อมขายได้ที่แล้วกว่า 2.4 แสนล้านบาท 

LTF จ่อครบ 2 แสนล้าน ‘สมาคม บลจ.’ ชี้กระทบ ‘หุ้นไทย’ ไม่แรง โยกเงินเข้า ThaiESG  

ในมุม VALUATION ของ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET INDEX)  ปี 2568 ภายใต้ EPS 68F ที่ 97 บาทต่อหุ้น , ดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% อิง MEYG ที่ 3.8% ได้ดัชนีเป้าหมายที่ 2568 อยู่ที่ 1,600 จุด ขณะที่ กรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX เดือนธ.ค.2567 ไว้ที่ 1,380 - 1,460 จุด  

ส่วน “ปัจจัยในประเทศ” มีทั้งส่งผลทั้งบวกและลบ แม้ว่า “เศรษฐกิจไทย” ยังมีแนวโน้มการเติบโตล่าช้า แต่ก็มีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จากเม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 รวมถึงเม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568 เพื่อทยอยขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 - 2568

"ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (AIMC) เปิดเผยว่า ในปีหน้าเม็ดเงินกองทุน LTF ที่จะครบกำหนดราว 2.4 แสนล้านบาท แม้ค่อนข้างมาก แต่นักลงทุน “อย่าได้กังวล” เพราะโดยปกติกองทุน LTF ที่ผ่านมา ยังไม่พบว่ามีเม็ดเงินไหลออกอย่างมีนัยสำคัญ   และไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนหรือส่งผลกระทบต่อตลาดกองทุนในภาพรวม 

“เพราะช่วง 7 ปีที่เม็ดเงินกองทุน LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา มีมากกว่าถึง 7 แสนล้านบาท แต่ก็ไม่ได้มีเม็ดเงินไหลออกมากอย่างที่กังวลกันในตอนแรก ขณะเดียวกัน แต่ละ บลจ. ได้มีทางออกให้กับลูกค้าอยู่แล้ว และแนะนำหากลูกค้าไม่รีบใช้เงินกองทุน LTF จะนำเสนอกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุน SSF และ Thai ESG ด้วยการโยกเม็ดเงินมาลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าลูกค้าจำเป็นใช้เงินก็ยังให้ขายคืนหน่วยลงทุน (รีดีม) ได้ตามปกติอยู่แล้ว”

ขณะที่ ยังพบกลุ่มลูกค้า “กองทุน LTF” จะมี 3 รูปแบบในการตัดสินใจคือ 1.ลูกค้าจำเป็นใช้เงินในช่วงครบกำหนด ก็ให้ลูกค้ารีดีมตามปกติ 2.ถ้านักลงทุน ไม่รีบใช้เงิน แนะนำ “ให้ถือ” เพื่อรอจังหวะขายทำกำไร เมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 

กรณีมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังทยอยปรับขึ้นต่อไปได้ อย่างในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นที่ระดับ 1,300 จุด มีลูกค้าบางคนอยากขายกองทุน LTF แต่ทางผู้จัดการกองทุนยังแนะนำให้ “ถือรอไว้ก่อน” และก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมาแตะระดับ 1,500 จุดได้ และแม้ย่อลงบ้าง แต่ยังใกล้ระดับดังกล่าวอยู่ 

สะท้อนภาพ ตลาดมองว่า รอดูเงินลงทุนลดหน่อยภาษีเข้าใน “กองทุน ThaiESG” ปลายปีนี้ และ หากมีมาตรการภาครัฐออกมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังปรับตัวขึ้นไปต่ออย่างที่ผ่านมาเช่นกัน 

และ 3. ถ้าลูกค้า ยังไม่รีบใช้เงิน  สามารถโยกเงินลงทุนออกจากกองทุน LTF เข้ามาลงทุนในกองทุน ที่ยังคงให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนเช่นเดิม และลงทุนด้าน การดูแลสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) ที่มีเงื่อนไขใกล้เคียงกัน และยังได้รับประโยชน์ภาษี และลงทุนหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนด้วย

สำหรับ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2568 ในฐานะผู้จัดการกองทุน คาดยังมีโมเมนตัมที่ดีกว่าปีนี้ จากเม็ดเงินจะเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ค่อนข้างมาก และการปรับลดลงของดอกเบี้ยยังเป็นแรงหนุนลงทุนในตราสารหนี้อยู่

“ส่วนตลาดหุ้นยังโฟกัสกลุ่ม ESG และตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว ยังให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก จึงมองทั้งตราสารหนี้ และตราสารทุนในปีหน้าน่าจะไปต่อได้ แต่อาจต้องคัดเลือกเป็นรายตัวมากขึ้น”

ส่วนเม็ดเงินกองทุน Thai ESG คาดในช่วงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 28,000-30,000 ล้านบาทได้ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 20,000 ล้านบาท โดยคาดหวังช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 5,000 - 8,000 ล้านบาท เป็นโอกาสลงทุนสร้าง “ผลตอบแทน” ที่ดีระยะยาวอีก 5 ปีข้างหน้า 

“ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า แม้ว่าเม็ดเงิน LTF ที่สามารถขายได้ในปัจจุบันมีมูลค่าราว  2.4 แสนล้านบาท แต่คาดว่าแรงขายในปีหน้าส่วนใหญ่จะมาจากเม็ดเงินที่นักลงทุนได้ลงทุนในปี 2562 ซึ่งนับเป็นกลุ่มใหม่ที่เพิ่งจะครบเงื่อนไขสามารถเริ่มขายได้ในปี 2568 

จากข้อมูลพบว่าในปี 2562 มีเงินลงทุนเข้ามาในกอง LTF ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และเมื่อพิจารณาจากต้นทุนเฉลี่ยของ SET Index ในปี 2562 อยู่ที่ 1,640 จุด โดยปัจจุบันมูลค่าของเม็ดเงินนั้น อาจจะอยู่ที่ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท หากสมมุติฐานว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะถูกขายทั้งหมด (worst-case scenario) คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนีหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของ บลจ.กรุงศรี มียอดเงินลงทุน LTF ที่ลงทุนในปี 2562 ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2568 อยู่ที่ราว 6.6 พันล้านบาท พบว่าโดยพฤติกรรมที่ผ่านมาผู้ลงทุนจะขายคืนในสัดส่วนประมาณ 30% ไม่ใช่การขายคืนทั้งหมดที่มีสิทธิขายได้ในปีนั้นๆ 

และผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ขายคืน LTF ในทันที เพราะการถือต่อก็เป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ต่อเนื่องและมีโอกาสได้รับเงินปันผลจาก LTF ที่มีนโยบายจ่ายปันผลด้วย ประกอบกับผู้ลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องรีบร้อนใช้เงินในส่วนนี้เพราะเป็นเงินที่มีเป้าหมายลงทุนระยะยาวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“สำหรับรูปแบบพอร์ตการลงทุนของ บลจ.กรุงศรี มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับรองรับการขายคืน LTF และที่ผ่านมามีการประชาสัมพันธ์กองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ ที่ได้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่น กองทุน SSF, RMFและ Thai ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Thai ESG เป็นกลุ่มกองทุนที่สามารถเข้ามาช่วยเสริม LTF ได้มาก เพราะวงเงินลงทุนแยกออกมาเช่นเดียวกับ LTF และมีทางเลือกของนโยบายการลงทุนที่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ได้ด้วย”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์