‘รายใหญ่’ ปรับพอร์ตรับหุ้นไทยฟื้น ปี 68 ยกธีม ‘ดาต้า เซนเตอร์ - เซอร์วิส -เอนเตอร์เทนเมนต์ ’ เด่น
‘รายใหญ่’ ปรับพอร์ตรับหุ้นไทยฟื้น ปี 2568 ยกธีม ‘ดาต้า เซนเตอร์ - เซอร์วิส-เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’ เด่น หวัง “มาตรการรัฐกระตุ้น” แรงหนุน “เศรษฐกิจไทย” กลับมาเติบโต
หากจะให้คำนิยาม “หุ้นไทย” ปี 2567 เป็นตลาดที่เสมือนกับ แห้งตาย หดหู่ ดูไม่มีความหวัง ดูได้จากมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) หุ้นไทยลดลงมาก !! เอ่ยเช่นนี้คงไม่ผิดนัก... สะท้อนจากดัชนี SET INDEX เคลื่อนไหวผันผวนรุนแรง จากเปิดตลาดต้นปีอยู่ที่ 1,433.38 จุด (2 ม.ค.68) ซึ่ง “จุดสูงสุด” (New High) ของปีก่อนที่ระดับ 1,495.02 จุด (17 ต.ค.67) และ “ต่ำสุด” (New Low) ของปีอยู่ที่ 1,274.01 จุด (6 ส.ค.67) และปิดตลาดวันสุดท้ายของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1,400.21 จุด (30 ธ.ค.67) หรือเป็นตลาดหุ้นที่อาจจะมี “ผลตอบแทน” (รีเทิร์น) จากการลงทุน “รั้งท้าย”
สะท้อนผ่าน “ผลตอบแทน” ปี 2567 “ไม่โดดเด่น” พบว่าปัจจุบันผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ณ วันที่ 30 ธ.ค.67) “ติดลบ 1.10% ”
ส่วนทางกลับ “สินทรัพย์ปลอดภัย” หรือ Safe Haven คือ “ทองคำ-ดอลลาร์” โดยราคาทองคำขายออกบาทละ 44,550 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ของราคาทองคำ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นตามราคาทองคำโลกที่ปรับขึ้นทะลุ 2,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่เฉกเช่นกันเมื่อช่วงเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ “ดอลลาร์” กลับมาแข็งค่า หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับเลือกกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง
เมื่อ “มีลบก็ต้องมีบวก” ถือเป็นสัจธรรม ดังนั้น ในปี 2568 “ปัจจัยบวก” เข้ามาสนับสนุนดัชนี SET INDEX ให้มีความหวัง “ฟื้นตัวขึ้น” อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ , เม็ดเงินต่างชาติ (Fund Flow) และ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ฟื้นตัว “กรุงเทพธุรกิจ” มีทัศนะจากเหล่า “กูรูตลาดหุ้น”...?
จากสารพัด “ปัจจัยนอก และภายใน” รวมถึงปัจจัยเฉพาะตัวหุ้น ที่ส่งผลกระทบมายังดัชนี โดยปี 2568 เหล่าบรรดา “นักลงทุนรายใหญ่” ต่างมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า หุ้นไทยน่าจะ “ไม่ตกต่ำ” ไปกว่าปี 2567 แล้ว เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากนโยบายรัฐที่เข้ามาสนับสนุน โดยมองว่าหุ้น “กลุ่มเซอร์วิส-ดาต้าเซนเตอร์-เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” จะเป็นหุ้นขาขึ้นในปี 2568
“ซัน-กระทรวง จารุศิระ” ผู้ก่อตั้งหลักของสถาบันซูเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค ให้มุมมองว่าปี 2568 ช่วงครึ่งปีแรกหุ้นไทยน่าจะมีการเด้งขึ้นมาได้ จากการจ่ายปันผลประจำปี ซึ่งส่วนใหญ่หุ้นที่มีการจ่ายปันผลในเดือนม.ค.-ก.พ. จะปรับตัวขึ้นมาได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก หรือเรียกได้ว่า “เสียทรง”
โดยในปี 2568 มีการปรับพอร์ตเปลี่ยนกลุ่มเล่นจากปี 2567 โดยในปี 2567 จะมีหุ้นชุดที่เป็น “ขาขึ้น” และเริ่มปรับตัวลงมา และจะมีหุ้นชุดใหม่ที่เป็นขาขึ้นจะเป็นหุ้น VGI , MONO , MCOT โดย MCOT ยังคงได้รับอานิสงส์จากเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ในต่างประเทศระหว่าง “สหรัฐกับจีน” ที่มีปัญหาด้านสงครามการค้ามาตลอดอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่า หากทรัมป์กลับมาในครั้งนี้กำแพงภาษีน่าจะมีความรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ ครั้งที่มีนโยบายต่างๆ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรง ก็จะทำให้หุ้นปรับตัวลงมา ด้านหุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาตลอดเทียบกับหุ้นต่างประเทศจากปัจจัยหลายด้านเข้ามากระทบ
“อนุรักษ์ บุญแสวง” หรือ “โจ ลูกอีสาน” นักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทย “ยังคงแย่ต่อ” มาหลายปี โดยในปี 2567 ก็เช่นกัน หากไม่มีหุ้น DELTA และ กลุ่ม GULF เข้ามาช่วยพยุงดัชนี ขณะที่หุ้นในหลายๆ ตัว “ทำนิวโลว์” ในรอบหลายปี
ทั้งนี้ ในปี 2568 หุ้นไทยจะปรับตัวลงไปอีกหรือไม่ ยังคงต้องลุ้นกันอีกที แต่ราคาหุ้นในหลายตัวยังอยู่ในโซนที่ “ไม่แพง” ดังนั้น โอกาสที่จะปรับลดลงมาน่าจะน้อยลงมาบ้างแล้ว
สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยดูไม่ค่อยสดใสมากนัก น่าจะมาจากสภาพของเศรษฐกิจไทยที่นอกจากการท่องเที่ยวแล้วแทบจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์โดน “จีน” เข้ามาทำการตลาดแบ่ง “มาร์เก็ตแชร์” ไป
สำหรับพอร์ตลงทุนส่วนตัวหากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เติบโตเร็วมาก แต่เมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีหลังมานี้ ตลาดหุ้นไทยมีแต่
“นิ่ง” กับ “ทรุด” จึงมีการปรับพอร์ตไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากหุ้นต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าหุ้นไทย แต่ยังคงต้องเลือกไปลงทุนถูกประเทศก็จะได้กำไร และถือว่าได้ชดเชยจากผลกระทบในหุ้นไทยได้บ้าง
ทั้งนี้ หากนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนหุ้นสหรัฐ หรือตลาดหุ้นเวียดนาม ถือว่าดีเพราะใน 2 ประเทศนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด หากมีแต่หุ้นไทยเพียงอย่างเดียวอาจจะลำบาก ซึ่งนักลงทุนอาจจะซื้อในรูปแบบของกองทุน หรือ DR หากไม่อยากเข้าไปลงทุนโดยตรง เราสามารถซื้อทางอ้อมได้
“ทิวา ชินธาดาพงศ์” หรือ “เซียนมี่” นักลงทุน "วีไอ" ให้ข้อมูลเสริมว่า ปี 2568 ยังคงต้องลุ้นหุ้นไทย เนื่องจากส่วนตัวมีจุดที่ยังไม่มั่นใจและยังคงต้องจับตาในวันที่ 20 ม.ค.2568 ซึ่งเป็นวันที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ต้องมีลุ้นว่ากำแพงภาษีประเทศใดจะโดนบ้าง
ขณะที่ปัจจัยในประเทศมีการกระตุุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลค่อนข้างเยอะ ส่งผลให้ “จีดีพี” ดูดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น แรงโมเมนตัมส่งต่อน่าจะยังพอมีแรงกระเพื่อมมาในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 นอกจากนี้ส่งออกที่คาดว่าจะโตขึ้นได้
“ส่วนตัวมองว่าหุ้นไทยไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ ๆ เพราะยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก แม้อุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัว แต่ยังมีด้านที่ยังเป็นบวก อย่างส่งออกที่ไทยอาจจะได้รับอานิสงส์จากประเทศที่โดนสหรัฐแบน หรือถูกจัดเก็บภาษี ซึ่งจะมีออร์เดอร์บางส่วนมาที่ไทย ขณะที่ท่องเที่ยวยังไปต่อได้เรื่อย ๆ และหากการเมืองไทยไม่สะดุดคาดจีดีพีจะโตได้”
อย่างไรก็ตาม หากมองไปยังตลาดหุ้น “ต่างประเทศ” ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ที่อยู่ในระดับฐานต่ำ และมองว่าในปี 2568 จะโตปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งต้องมาลุ้นว่าอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 จะมีการปรับลงได้หรือไม่ ยังคงต้องมาลุ้นกันอีกทีหนึ่ง
สำหรับ หุ้นปี 2568 จะมีความเสี่ยง และไม่ควรเข้าไปลงทุนคือ “หุ้นที่มีหนี้สินจำนวน” กระแสเงินสดไม่ดี แม้ว่าในปี 2568 มองว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่มองว่า อาจจะไม่ดีเหมือนปีก่อน ๆ หรือเรียกได้ว่า ไม่ตายแต่มันไม่โต เช่น กลุ่มอสังหาฯ หรือกลุ่มยานยนต์
ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะสามารถไปได้ดี เช่น กลุ่มเซอร์วิส และกลุ่มเทคโนโลยี เพราะหลายบริษัทในต่างประเทศมีความสนใจที่จะเข้ามาตั้งดาต้าเซนเตอร์ในไทย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า Digital Transformation หรือ Digital Adoption กำลังจะเข้าสู่เฟสใหม่ อย่าง AI เป็นต้น รวมถึงเริ่มเห็นเม็ดเงินภาครัฐเข้ามาอัดฉีด
“มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์” หรือ “เบิร์ท” นักลงทุนอิสระชื่อดัง ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า ในปี 2568 ตลาดหุ้นไทยจะมีดาวน์ไซด์จากปี 2567 ไม่มากนัก แต่ทว่า ปี 2567 ดาวน์ไซด์ถือว่าต่ำมาก อย่างไรก็ดี Valuation หรือ P/E หรือ เงินปันผล ถือว่า “เป็นจุดที่น่าลงทุน” และคาดว่าหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลงไปมากกว่าสักเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจจะเลือกลงทุนในรายเซกเตอร์ หรือเป็นรายตัว เฉพาะที่น่าสนใจเท่านั้น ไม่อยากต้องกระจายการลงทุนมากเกินไปสำหรับตลาดหุ้นไทย
โดยในปี 2568 หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือ “กลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI ยังคงเป็นเทรนด์สำคัญที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นไทยที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI คงหนีไม่พ้นกลุ่มดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งบริษัทในต่างประเทศยักษ์ใหญ่ อย่าง Amazon หรือ Microsoft รวมถึงล่าสุด NVIDIA เข้ามาประกาศลงทุนดาต้าเซนเตอร์ในไทย ด้วยเม็ดเงินที่สูงมาก “หลักหลายแสนล้าน” ทำให้เชื่อว่า เป็นการลงทุนอย่างแรกที่น่าสนใจ
ขณะที่ ในช่วงเดือนม.ค. 2568 ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง มองความเสี่ยงในเรื่องของสงครามการค้า ซึ่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยที่มีความเกี่ยวข้องทำธุรกิจกับจีนอาจจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับกำแพงภาษี หรืออาจจะโดนนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สหรัฐยืนยันที่จะเป็นพันธมิตรกับไต้หวัน ฉะนั้น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่มีการทำธุรกิจในไต้หวันจะได้อานิสงส์นี้
‘4 เซียน’ ให้นิยามหุ้นไทยปี 67 เหนื่อยซ้ำซ้อน
“ซัน-กระทรวง จารุศิระ” ผู้ก่อตั้งหลักของสถาบันซูเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค ให้ “คำนิยาม” ตลาดหุ้นไทยปี 2567 และปี 2568 ว่า “ตลาดหุ้นไทยคงไม่แย่กว่าที่เป็นที่อยู่แล้ว!!” เพราะในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาหนักมากเพราะปัจจัยลบของหุ้นเฉพาะตัว อย่างหุ้น บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT , บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่งส่วนใหญ่มีการปรับลงมารับข่าวไปหมดแล้ว ฉะนั้น จึงมองว่าในปี 2568 “คงจะไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่”
“ดังนั้น แนะนำเพื่อนๆ นักลงทุนในกลุ่มหุ้นที่เป็น “ขาขึ้น” และไม่ถัวเฉลี่ยในหุ้นที่เป็น “ขาลง” ซึ่งหุ้นขาลงยอมรับค่อนข้างเล่นยากมากๆ ในช่วงที่ผ่านมา”
“อนุรักษ์ บุญแสวง” หรือ “โจ ลูกอีสาน” นักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่า(ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” ให้ “คำนิยาม” สำหรับหุ้นไทยในปี 2567 ว่า ตลาดหุ้นไทย “แห้งตาย หดหู่ ดูไม่มีความหวัง วอลุ่มการซื้อขายลดลงมามาก” และปี 2568 ยังคงต้องลุ้น โดยต้องมี “การกระจายความเสี่ยง” ไปต่างประเทศบ้าง เพื่อ “ลดความเสี่ยง” ในตลาดหุ้นไทยที่ยังมองไม่เห็นถึงอนาคต
อย่างไรก็ดี ยังคงมองว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2568 จะไม่ปรับตัวลงมามากแล้ว เนื่องจากปี 2567 ปรับตัวลงมาเยอะมากแล้วโดยส่วนตัวจะเลือกหุ้นที่เน้นเป็นธุรกิจที่มียอดขายในประเทศไทย และมีการขยายตัวได้ หรืออิ่มตัวในประเทศไทย แต่มีการขยายตัวไปยังตลาดต่างประเทศ ถึงจะน่าสนใจ และยังเชื่อว่า หุ้นเติบโตยังมี และดีกว่า บวกกับปันผลที่ได้ด้วย
“ทิวา ชินธาดาพงศ์” หรือ “เซียนมี่” นักลงทุน "วีไอ" ให้ “คำนิยาม” ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ว่า เป็นปีแห่งการ “เหนื่อยซ้ำซ้อน” เพราะยังเหนื่อยอยู่ เมื่อเทียบกับปี 2566 ยอมรับเหนื่อยจริงๆ ดังนั้น ในปี 2568 ยังหวังอยู่ว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้นได้...
“มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์” หรือ “เบิร์ท” นักลงทุนอิสระชื่อดัง ให้ “คำนิยาม” ตลาดหุ้นไทยว่า หากผ่านปี 2567 มาได้ในปี 2568 ไม่น่าจะ “ยาก” แล้ว เปรียบตลาดหุ้นไทยเสมือนนักมวยที่ผ่าน “การโดนน็อก” มาแล้วหลายครั้ง ถ้านับในปี 2567 ที่ผ่านมาในจำนวน 12 เดือน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์