โบรกหั่นดัชนีหุ้นไทยปี 68 ลง 100 จุด ที่ 1,530 จุด ความเสี่ยงธุรกิจ -นโยบายรัฐ
บล. ซีจีเอส หั่นเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยลงมาที่ 1,530 จุดเดิม 1,630 จุด เผชิญปัจจัยลบทั้งจากในและนอกประเทศ ทั้งนโยบายลดค่าไฟกระทบกลุ่มมาร์เก็ตแคปใหญ่ กำไรแบงก์มีความเสี่ยงชะลอตัวลง แนะโฟกัสหุ้นมีความเสี่ยงกำกับดูแลน้อยกว่า
หุ้น Top pick ของเราประกอบ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ปัจจัยลบทั้งจากในและนอกประเทศทำให้เราปรับลดเป้าดัชนี SET ในสิ้นปี 2568 เป็น 1,530 จุด (P/E 15.3x FY26, -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี)
ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลจากแผนปรับลดอัตราค่าไฟฟ้า "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างช่วยหาเสียงที่จังหวัดเชียงรายเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค. 2025 ว่ารัฐบาลมีแผนจะลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยจากปัจจุบันที่ 4.15 บาท/หน่วย
ขณะที่ หนังสือพิมพ์ The Nation รายงานข่าวที่อดีนายกฯ กล่าวว่า น.ส. แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ได้ทบทวน ข้อเสนอดังกล่าวแล้วและเตรียมจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนจากภาคเอกชนเพื่อหาข้อสรุป ร่วมกันเรื่องการลดค่าไฟฟ้า แต่ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท/หน่วยได้เมื่อใด
ดังนั้น เราจึงมองว่าบริษัทในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสูงขึ้น ซึ่งสองกลุ่ม นี้รวมกันคิดเป็น 18% ของมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) ของ SET ณ วันที่ 7 ม.ค. 2025 เท่ากับว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการกำกับดูแลนี้อาจกระทบ sentiment ของกลุ่มและตลาด แม้เราเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต้อง รับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลดค่าไฟฟ้า คาดกำไรสุทธิเติบโต 44% yoy และ 39% qoqใน 4Q24
กลุ่มธนาคารจะประกาศผลประกอบการปี FY24 ภายในวันที่ 21 ม.ค. 2025 ส่วนกลุ่มอื่นจะทยอยประกาศผล ประกอบการจนถึงวันที่ 28 ก.พ. 2025 โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของธนาคารใหญ่ 5 แห่งจะเติบโต 3% yoy แต่ลดลง 19% qoq ใน 4Q24 ซึ่งผลประกอบการที่อ่อนตัวรวมถึงการเพิ่มขึ้นของ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อาจฉุด sentiment การลงทุนในกลุ่มธนาคาร
ขณะเดียวกัน เราคาดว่า บริษัทที่ทำการศึกษาจะทำกำไรสุทธิรวมกันใน 4Q24 เพิ่มขึ้น 44% yoy และ 39% qoq โดยกลุ่มที่เราเชื่อว่า น่าจะมีกำไรในไตรมาส 4 เติบโตแข็งแกร่ง yoy คือกลุ่มขนส่ง, กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจาก ฐานที่ต่ำใน 4Q23 ส่วนกลุ่มที่น่าจะมีกำไรสุทธิอ่อนตัว yoy คือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มเกษตรและกลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภค
ปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2568 เป็น 1,530 จุด ปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากในและนอกประเทศ ประกอบด้วยนโยบายการค้าของรัฐบาลใหม่สหรัฐ, การขายคืน หน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF), ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลและเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนตัว ทำให้เราตัดสินใจปรับลดเป้าดัชนี SET ในสิ้นปี 2025 จาก 1,630 จุด (P/E 16x, -1SD) เป็น 1,530 จุด ซึ่งจะ เท่ากับ P/E 15.3x ในปี FY26 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี
ขณะที่เรามองว่าตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือหุ้นในกลุ่มปลอดภัยที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐและมีความเสี่ยงด้านการ กำกับดูแลน้อยกว่า โดยกลุ่มเหล่านี้คือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแทพย์, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
หุ้น Top pick ของเราประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB ขณะเดียวกัน เรามองว่าตลาดหุ้นไทยจะมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ ปรับขึ้น ภาษีนำเข้า, รัฐบาลไทยขอให้ภาคเอกชนสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้าและบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวใน 4Q24 แต่ตลาดหุ้นจะมี upside risk หากมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดจำนวนมากและรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่