กองทุน‘ลดน้ำหนัก’หุ้นอินเดีย ปมดัชนีดิ่งหนักรอบ7เดือน แนะติดพอร์ต5-10%
![กองทุน‘ลดน้ำหนัก’หุ้นอินเดีย ปมดัชนีดิ่งหนักรอบ7เดือน แนะติดพอร์ต5-10%](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2025/01/LjmKvJXlOQLypPwjVjol.webp?x-image-process=style/LG)
“ตลาดหุ้นอินเดีย” ปรับตัวร่วงลงตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จากนักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นประเทศนี้ กังวลการชะลอตัวเศรษฐกิจของประเทศ สะท้อนภาพดัชนีหุ้นอินเดียหลัก Nifty 50 ปรับลดลง 13.12% และ Sensex ลดลง 12.34% นับว่า อยู่ที่ระดับ “ต่ำสุดรอบกว่า 7 เดือน”
สาเหตุการลดลงนี้เกิดจากหลายปัจจัย เช่น ข้อกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ ผลการเปิดตัวรายวันที่ไม่ดี และการถอนทุนจากต่างประเทศ พร้อมกันนี้ ข้อมูลจากธนาคาร Goldman Sachs ระบุอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด ได้แก่อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และยานยนต์
การปรับลดลงต่อเนื่องของในตลาดหุ้นอินเดียรอบนี้ เป็นระดับที่นักลงทุนต้องระวัง หรือยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่หรือไม่นั้น “กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวมมุมมอง “ผู้จัดการกองทุน”ต่อการลงทุนหุ้นอินเดียระยะถัดไป
“ปณตพล ตัณฑวิเชียร” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ยังคงแนะนำลงทุนเช่นเดิม ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียจาก Overweight ลงมาเป็น Neutral
จากภาพเศรษฐกิจเติบโตลดลง การชะลอตัวการเบิกจ่ายภาครัฐ เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของ RBI ที่กดดันให้ RBI ยังไม่สามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้ และกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด รวมทั้งมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
แนะนำสัดส่วนลงทุนหุ้นอินเดียที่ 5-10% ของพอร์ต โดยนักลงทุนที่มีอยู่ในระดับ 5-10% สามารถ “ถือต่อได้”ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นอินเดียสามารถใช้จังหวะตลาดย่อตัว “ทยอยซื้อสะสม” เพื่อให้น้ำหนักอยู่ที่ 5-10% ของพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด มองระยะสั้นหุ้นอินเดียอาจถูกกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวมไปยังสหรัฐ
ทั้งนี้ เป็นผลจากนโยบายของว่าที่ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนทั่วโลกไหลไปยังสหรัฐฯ และหากดูเงินทุนในหุ้นช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นอินเดียเกือบ 1,900 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทำกำไรจากตลาดหุ้นอินเดีย
ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นอินเดียสร้างผลตอบแทนได้ Outperform ตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย โดย 3 ปี ที่ผ่านมาทำผลตอบแทนสะสมถึง 36% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10.8% ขณะที่ดัชนี MSCI Asia ex Japan ทำได้เพียง 3.3% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 1.1%
หากประเมินในแง่ทางภาพรวมเศรษฐกิจ คาด GDP ของอินเดียจะขยายตัวได้ถึง 6.4% ถึงแม้ถูกปรับลดคาดการณ์ลงจาก 6.8% แต่ถือว่า เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขยายตัวมากที่สุด ในกลุ่ม Top 5 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก
นอกจากนี้ หลังจากการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางของอินเดีย (RBI) ซึ่งมีท่าทีที่ Dovish กว่าคนก่อน คาดการณ์การประชุมธนาคารกลางเดือนก.พ.2568 อาจเห็นอินเดียลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก นับตั้งแต่ลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเดือนมี.ค.2563 ก่อนการระบาดโควิด-19
ในส่วนตลาดหุ้นอินเดีย คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2568 คาดเติบโตได้ราว 8% อาจดูไม่มากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการปรับคาดการณ์อย่างระมัดระวัง ที่คาดว่าประเทศในเอเชียอาจถูกผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐ
ประกอบกับ ตลาดหุ้นอินเดียเติบโตมาค่อนข้างมากในช่วง 10 ที่ผ่านมา สะสมโตกว่า229% หรือเฉลี่ยต่อปี คือ 12.6% ขณะที่ Forward PE ของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ที่ 23 เท่า ถือว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังประมาณ 0.7SD และหากนับจากจุดสูงสุดของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงปลายเดือนก.ย. ปี 2567 ตลาดหุ้นอินเดียย่อตัวลงมาประมาณ 8.5%
“บดินทร์” กล่าวว่า ให้น้ำหนักเรื่องปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นอินเดีย “ระยะกลางถึงยาว” มากกว่า และ อินเดียยังคงน่าสนใจและยังคงคำแนะนำการลงทุนเป็น Slightly Overweigh (ปรับน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย)
จากการที่ตลาดย่อมาประมาณนี้ต้องย้อนไปถึงช่วงต้นปี 2566 หรือเกือบ 2 ปี มองเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นอินเดียเพราะมองโมเมนตัมระยะยาวแล้วอินเดียอาจเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐขึ้นกำแพงภาษีจีน และอาจมีการนำเข้าสินค้า หรือ ย้ายฐานผลิตมายังอินเดียแทน