กองทุน‘ลดน้ำหนัก’หุ้นอินเดีย ปมดัชนีดิ่งหนักรอบ7เดือน แนะติดพอร์ต5-10%

กองทุน‘ลดน้ำหนัก’หุ้นอินเดีย ปมดัชนีดิ่งหนักรอบ7เดือน แนะติดพอร์ต5-10%

“ตลาดหุ้นอินเดีย” ปรับตัวร่วงลงตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จากนักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นประเทศนี้ กังวลการชะลอตัวเศรษฐกิจของประเทศ สะท้อนภาพดัชนีหุ้นอินเดียหลัก Nifty 50 ปรับลดลง 13.12% และ Sensex ลดลง 12.34% นับว่า อยู่ที่ระดับ “ต่ำสุดรอบกว่า 7 เดือน”

สาเหตุการลดลงนี้เกิดจากหลายปัจจัย เช่น ข้อกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ ผลการเปิดตัวรายวันที่ไม่ดี และการถอนทุนจากต่างประเทศ พร้อมกันนี้ ข้อมูลจากธนาคาร Goldman Sachs ระบุอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด ได้แก่อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และยานยนต์

การปรับลดลงต่อเนื่องของในตลาดหุ้นอินเดียรอบนี้ เป็นระดับที่นักลงทุนต้องระวัง หรือยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่หรือไม่นั้น  “กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวมมุมมอง “ผู้จัดการกองทุน”ต่อการลงทุนหุ้นอินเดียระยะถัดไป 

กองทุน‘ลดน้ำหนัก’หุ้นอินเดีย ปมดัชนีดิ่งหนักรอบ7เดือน แนะติดพอร์ต5-10%

“ปณตพล ตัณฑวิเชียร” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ยังคงแนะนำลงทุนเช่นเดิม ปรับน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียจาก Overweight ลงมาเป็น Neutral 

จากภาพเศรษฐกิจเติบโตลดลง การชะลอตัวการเบิกจ่ายภาครัฐ เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของ RBI ที่กดดันให้ RBI ยังไม่สามารถลดดอกเบี้ยนโยบายได้ และกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด รวมทั้งมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

แนะนำสัดส่วนลงทุนหุ้นอินเดียที่ 5-10% ของพอร์ต โดยนักลงทุนที่มีอยู่ในระดับ 5-10% สามารถ “ถือต่อได้”ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นอินเดียสามารถใช้จังหวะตลาดย่อตัว “ทยอยซื้อสะสม” เพื่อให้น้ำหนักอยู่ที่ 5-10% ของพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้

“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด มองระยะสั้นหุ้นอินเดียอาจถูกกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวมไปยังสหรัฐ

ทั้งนี้ เป็นผลจากนโยบายของว่าที่ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนทั่วโลกไหลไปยังสหรัฐฯ และหากดูเงินทุนในหุ้นช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นอินเดียเกือบ 1,900 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทำกำไรจากตลาดหุ้นอินเดีย

ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นอินเดียสร้างผลตอบแทนได้ Outperform ตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย โดย 3 ปี ที่ผ่านมาทำผลตอบแทนสะสมถึง 36% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10.8% ขณะที่ดัชนี MSCI Asia ex Japan ทำได้เพียง 3.3% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 1.1%

หากประเมินในแง่ทางภาพรวมเศรษฐกิจ คาด GDP ของอินเดียจะขยายตัวได้ถึง 6.4% ถึงแม้ถูกปรับลดคาดการณ์ลงจาก 6.8% แต่ถือว่า เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขยายตัวมากที่สุด ในกลุ่ม Top 5 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก 

นอกจากนี้ หลังจากการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางของอินเดีย (RBI) ซึ่งมีท่าทีที่ Dovish กว่าคนก่อน คาดการณ์การประชุมธนาคารกลางเดือนก.พ.2568 อาจเห็นอินเดียลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก นับตั้งแต่ลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเดือนมี.ค.2563 ก่อนการระบาดโควิด-19

ในส่วนตลาดหุ้นอินเดีย คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2568 คาดเติบโตได้ราว 8% อาจดูไม่มากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการปรับคาดการณ์อย่างระมัดระวัง ที่คาดว่าประเทศในเอเชียอาจถูกผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐ

ประกอบกับ ตลาดหุ้นอินเดียเติบโตมาค่อนข้างมากในช่วง 10 ที่ผ่านมา สะสมโตกว่า229% หรือเฉลี่ยต่อปี คือ 12.6% ขณะที่ Forward PE ของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ที่ 23 เท่า ถือว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังประมาณ 0.7SD และหากนับจากจุดสูงสุดของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงปลายเดือนก.ย. ปี 2567 ตลาดหุ้นอินเดียย่อตัวลงมาประมาณ 8.5%

“บดินทร์” กล่าวว่า ให้น้ำหนักเรื่องปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นอินเดีย “ระยะกลางถึงยาว” มากกว่า และ อินเดียยังคงน่าสนใจและยังคงคำแนะนำการลงทุนเป็น Slightly Overweigh (ปรับน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย)

จากการที่ตลาดย่อมาประมาณนี้ต้องย้อนไปถึงช่วงต้นปี 2566 หรือเกือบ 2 ปี มองเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นอินเดียเพราะมองโมเมนตัมระยะยาวแล้วอินเดียอาจเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐขึ้นกำแพงภาษีจีน และอาจมีการนำเข้าสินค้า หรือ ย้ายฐานผลิตมายังอินเดียแทน