ดัชนี S&P 500 ปิดบวก หลังติดลบมา 4 วัน นักลงทุนยังผวาสงครามการค้า

ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันพุธ หยุดสถิติการลดลงติดต่อกัน 4 วัน นักลงทุนยังกังวลความเสี่ยงจากสงครามการค้า และแผนขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ซีเอ็นบีซีรายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันพุธ (26 ก.พ.) ว่า ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.01% ปิดที่ 5,956.06 จุด ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ลดลง 188.04 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 43,433.12 จุด ดัชนีหุ้น 30 ตัวปรับตัวเพิ่มขึ้น 245.34 จุด หรือประมาณ 0.6% ก่อนหน้านี้ ด้านดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งเน้นกลุ่มเทคโนโลยี เพิ่มขึ้น 0.26% และปิดที่ 19,075.26 จุด
หุ้น Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% ก่อนที่จะรายงานผลประกอบการหลังปิดตลาด ในขณะเดียวกัน หุ้นของ Maplebear บริษัทแม่ของ Instacart แพลตฟอร์มบริการส่งอาหาร ลดลง 12.3% ซึ่งถือเป็นวันที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หุ้นปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุด เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้บรรดานักลงทุนเกิดความกังวลมากขึ้น ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก ทรัมป์ระบุว่า ภาษีศุลกากรต่อแคนาดาและเม็กซิโกจะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ เขายังประกาศด้วยว่าในไม่ช้านี้ เขาจะขยายสงครามการค้าให้รวมถึงภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรปด้วย
ลิซ แอนน์ ซอนเดอร์ส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ บริษัทบริการด้านการเงิน Charles Schwab กล่าวกับซีเอ็นบีซี เมื่อวันพุธว่า “ความไม่แน่นอนของนโยบาย... ได้แสดงผลผ่านข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างแน่นอน เป็นสาเหตุที่คุณเห็นสิ่งต่างๆ เช่น ความตั้งใจซื้อสินค้าราคาแพง ความตั้งใจลงทุน และแผนการใช้จ่ายลดลงอย่างมาก”
รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ของ Nvidia ออกมาดีเกินตลาดคาด ทำให้หุ้นปรับขึ้นต่อในช่วงการซื้อขายนอกเวลาทำการปกติ
รายงานผลประกอบการของ Nvidia ออกมาในช่วงเวลาสำคัญ จากการเกิดขึ้นของ DeepSeek ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของการซื้อขายหุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เคยร้อนแรง หุ้นยักษ์ใหญ่ด้านชิปและหุ้นโมเมนตัมอื่นๆ ส่งสัญญาณลดความร้อนแรงลง โดยราคาหุ้น Nvidia ลดลง 2% นับแต่ต้นปี 2025
“Nvidia เป็นหุ้นนำเทรนด์และหุ้นที่เป็นที่รักของตลาดซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดโดยรวม ความเคลื่อนไหวของหุ้นดังกล่าวให้แนวทางที่มีความหมายสำหรับโทนตลาดโดยรวม ไม่สามารถมองข้ามความสำคัญสำหรับภาคเทคโนโลยีได้” คริส บริกาติหัวหน้าฝ่ายการลงทุนของสถาบันการเงิน SWBC กล่าว
หุ้นปรับตัวขึ้นหลังจากปิดตลาดลดลงในช่วงวันก่อนหน้า โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นวันที่สี่ ขณะที่ดัชนี Dow ซึ่งมีหุ้นอยู่ 30 ตัวเป็นดัชนีที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยปรับขึ้นประมาณ 0.4%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐที่ปรับตัวลดลงเกินคาด ส่งผลกระทบต่อหุ้นในวันอังคาร รายงานล่าสุดจำนวนมาก รวมถึงตัวเลขยอดขายปลีกที่น่าผิดหวังและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ กระตุ้นให้บรรดานักค้าหุ้นเกิดความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีหลักได้รับผลกระทบ
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนี S&P 500 ลดลงแล้วเกือบ 1% ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 2.3% ดัชนี Dow ปรับตัวลงเกือบ 1% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า