CPALL ทุ่มหมื่นล.เพิ่มสาขา หนุน ‘ยอดขาย-กำไรขั้นต้น’ ปี 68 โตต่อ

CPALL ทุ่มหมื่นล.เพิ่มสาขา  หนุน ‘ยอดขาย-กำไรขั้นต้น’ ปี 68 โตต่อ

CPALL ทุ่มงบลงทุนปีนี้ 1.2-1.3 หมื่นล้าน ดันยอดขาย-อัตรากำไรขั้นต้น โตต่อ รุกขยายร้าน 7-11 มากกว่า 700 สาขาในไทย-ต่างประเทศ หนุนยอดขายต่อสาขาโตไม่ต่ำกว่าจีดีพีโต 2-3%

นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALLกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานปี 2568 คาดเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีก่อน จากแนวโน้มการโตยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เติบโตต่อเนื่อง โดยมุ่งการขยายสาขา ซึ่งตั้งเป้าหมายขยายร้านสะดวกซื้อ 7-11 อีก 700 สาขาในไทย ,อีก 20-30 สาขาในกัมพูชา และไม่เกิน 10 สาขาใน สปป.ลาว โดยลงทุนด้วยความรัดกุมไม่ให้กระทบผลการดำเนินงาน ซึ่งปี 2567 มีจำนวนร้าน 7-11 มีทั้งหมด 15,245 สาขา แยกเป็นร้าน Stand-alone 86% และร้านในสถานีบริการน้ำมัน PTT 14%

พร้อมกับผลักดันยอดขายต่อสาขา (SSSG) เพิ่มขึ้นเติบโตไม่น้อยกว่าการเติบโตจีดีพีทั้งปี คาดว่าจีดีพีปีนี้เติบโต 2-3% โดย SSSG ในปี 2567 เติบโต 3.8% และสร้างรายได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอหลากหลายกลุ่มสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่าย ส่งผลให้มีสัดส่วนการทำกำไรที่ดีขึ้น

CPALL ทุ่มหมื่นล.เพิ่มสาขา  หนุน ‘ยอดขาย-กำไรขั้นต้น’ ปี 68 โตต่อ

โดยปีนี้ยังผลักดันยอดขายอาหารพร้อมทานและเครื่องดื่มพร้อมดื่ม กลุ่มอาหารว่าง อาหารสุขภาพ ขนมไทย ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโต และคาดอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2568-2569 มีโอกาสเติบโต 0.2-0.3% ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่มองไว้ 

นอกจากนี้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (ถือหุ้น 62%) ได้ดำเนินการควบรวมกิจการสำเร็จแล้วในไตรมาส 3 ปี 2567 และในไตรมาส 4 ปี 2567 มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น และผู้บริหาร CPAXT ได้แสดงความมั่นใจปี 2568 จะสามารถปรับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จะทำให้ในปีนี้บริษัทน่าจะมีความพร้อมที่จะผลักดันยอดขายและกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น และย้ำทางบริษัทไม่เคยพิจารณาการเข้าลงทุนร้านสะดวกซื้อ 7-11 ในญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ด้านงบลงทุนปีนี้บริษัทวางไว้ที่ 12,000-13,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อน โดยเป็นการขยายสาขา 3,800-4,000 ล้านบาท ,ปรับปรุงร้านค้า 2,900-3,500 ล้านบาท, ลงทุนในโครงการใหม่ บริษัทย่อย และ DC 4,000-4,100 ล้านบาท, สินทรัพย์ถาวรและระบบไอที 1,300-1,400 ล้านบาท

นางสาวจิราพรรณ กล่าวว่า เงินลงทุนสูงขึ้นในปีนี้ มุ่งเน้นขยายร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่เป็นแบบ Stand-alone ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นแม้ว่าเงินลงทุนแบบนี้ จะสูงกว่าร้านห้องแถว แต่ช่วยประหยัดค่าเช่าที่ได้ในระยะยาว ควบคู่ไปกับการใช้งบลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมองร้าน Stand-alone มีความคุ้มค่าลงทุนมากกว่า เพราะมีความสามารถทำกำไร และสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะกลางและยาวได้ดีกว่าร้านที่เป็นตึกแถว แม้ระยะสั้นจะสู้ร้านตึกแถวไม่ได้

สำหรับ โอกาสลงทุนร้าน Stand-alone ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการจัดหาสินค้านำเสนอสินค้า ขยายพื้นที่ร้านทีเพิ่มหมวดหมู่สินค้ามากขึ้น รวมถึงมีพื้นที่เช่าที่เพิ่มรายได้ 

นอกจากนี้ บริษัทมีโอกาสหาทำเลศักยภาพมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ร้าน 7-11 สามารถเช่าที่ดินเปล่าที่พัฒนาเป็นร้าน 7-11 ได้ เพื่อทำโซลาร์ รูฟท็อป ช่วยลดโลกร้อน และนำพลังงานโซลาร์มาใช้ได้อีกด้วย

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่ายังเป็นภาพการเติบโตเช่นเดียวกับช่วงเดียวกันปีก่อนได้ จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ เงินดิจิทัล 10,000 บาท และมาตรการ Easy E-Receipt ใช้ลดหย่อนภาษี ที่บริษัทมีการเตรียมพร้อมในส่วนนี้ และในส่วนสินค้าโอท็อป ทำให้ลูกค้ามีโอกาสมาใช้บริการในร้านสะดวกซื้อ 7-11 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สินค้ากลุ่มอาหารยังเติบโตดีต่อเนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอัตรากำไรขั้นต้นดีมากและกลยุทธ์หลักมุ่งให้ความสะดวกผ่านช่องทางออนไลน์ หลังจากบริการ 7 Delivery ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมาและยังพบว่ามีปริมาณยอดใช้บริการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมถึงปรับปรุงการให้บริการ ALL Online ให้บริการให้รวดเร็วขึ้น เช่น สั่งเช้า - ส่งบ่าย ในกลุ่มสินค้าหลากหลายมากขึ้น ช่วยสร้างการเติบโต

“เรายังเห็นการเติบโตของยอดขายต่อสาขาที่เป็นบวกในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ สอดคล้องกับการเติบโตเศรษฐกิจ แม้ว่าปีนี้จะมีการฉลองตั้งต้นปีหรือเร็วกว่ากำหนด เช่น เทศกาลตรุษจีน ,ก.พ.ปีนี้ มี 28 วันน้อยกว่าปีก่อนปีนี้มี 29 วัน และจากอากาศร้อนเร็วกว่าปกติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 1 ปีก่อน มีกำไรเติบโตที่ดีมากก็ตาม”