PTT ตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโต เล็งดึง‘พันธมิตรต่างชาติ’ถือหุ้น

PTT เตรียมลดสัดส่วนถือหุ้น ดึง “พันธมิตรต่างชาติ” ร่วมถือหุ้น PTTGC-TOP-IRPC ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายโตกว่าปีก่อน รับความต้องการก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลดสัดส่วนการถือหุ้นและแบ่งขายหุ้นใน บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC),บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และบมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) มองว่ากลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายให้เหมาะสม เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและเสริมสร้างความเข็งแกร่งให้กับบริษัทเรือธง ซึ่งในการดำเนินงานมีการคำนึงถึงมิติต่างๆในหลากหลายด้าน โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ในช่วงต้นของการหารือร่วมกับ ให้พันธมิตรต่างชาติ ซึ่งหากมีความชัดเจนบริษัทจะมีการสื่อสารให้ทราบต่อไป
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มจากปีก่อน โดยปกติแล้วปริมาณการขายจะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ (GDP) ที่เพิ่มขึ้น คาดว่าปีนี้จีดีพี เติบโต 2.9% และยังเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ในประเทศที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมก็คาดว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นจากโครงการแหล่งผลิต G1/61 (แหล่งเอราวัณ)
อย่างไรก็ตาม ทางด้านราคาขาย ยังมีปัจจัยภายนอกหลายๆ ด้านกดดัน ไม่ว่าเป็น ราคาน้ำมัน (ราคาน้ำมันดิบดูไบ) คาดปีนี้ลดลง 5% (เฉลี่ยอยู่ที่ 71-81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) , นโยบายของประเทศสหรัฐฯ,ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนว่าจะคลี่คลายไปทางใด,การเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส รวมถึงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นแรงกดดันด้านราคาขายและส่งผลต่อรายได้ของบริษัท
ด้านงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2572) วางไว้ที่ 54,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่แบ่งเป็นเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและเสริมสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งก๊าซ,โรงแยกก๊าซฯต่างๆ เป็นต้น รวมถึงธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายที่มีสัดส่วน 64% ของงบลงทุนทั้งหมด โดยมีโครงการหลัก ได้แก่ ท่อส่งก๊าซฯบางประกง,โรงไฟฟ้าพระนครใต้,โรงแยกก๊าซฯ 7 รวมถึงการลงทุนเพื่อแสวงหาโอกาสในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศแบบครบวงจรสำหรับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ฐานะการเงินยังมีความแข็งแกร่ง
ปี 2567 ปตท. มียอดขายอยู่ที่ 3,090,453 ล้านบาท ลดลง 1.7% จากปีก่อนที่ 3,144,884 ล้านบาท มี EBITDA อยู่ที่ 396,234 ล้านบาท ลดลง 7.2% จากปีก่อนที่ 426,895 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 90,072.03 ล้านบาท ลดลง 19.20% จาากปีก่อน 112,023.88 ล้านบาท โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลง
นายธนพล กล่าวว่า ปี 2568 ปตท. วางกลยุทธ์ สร้างความแข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยกลับมาให้ความสำคัญกับ ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน และ ธุรกิจพลังงาน ที่เป็นจุดแข็ง สร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตทางธุรกิจ ทั้งอิบิทด้าและกำไร ควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างสมดุล เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
สำหรับธุรกิจหลัก ธุรกิจไฮโดรคาร์บอนและพลังงาน มุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพและขยายผลสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ศึกษาธุรกิจไฮโดรคาร์บอนเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะมาสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนความยั่งยืนของทั้งกลุ่มปตท. และการประเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร ปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มความแข็งแกร่ง และมุ่งทำซินเนอร์จี่ในกลุ่มปตท.ให้เกิดประโยชน์
ธุรกิจที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ธุรกิจ EV มุ่งเน้นที่ธุรกิจการชาร์จแบบ บูรณาการและใช้ประโยชน์ จากระบบนิเวศ OR ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน มุ่งเน้นธุรกิจที่ผสานความร่วมมือ และเชื่อมโยงอย่างแข็งแกร่ง กับความต้องการในกลุ่ม ปตท.สร้างความสามารถในการแข่งขันผ่าน พันธมิตรที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นด้านโลจิสติกส์แบบกักขัง ถังเก็บ สินค้าและสถานีขนส่ง อื่นๆ เช่น ทาง อากาศและทางรถไฟ
ธุรกิจวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ปตท. เป็นผู้ลงทุนทางการเงิน การจัดหาแหล่งเงินทุนด้วยตนเอง สร้างความปรานารถดีต่อสังคม พัฒนาแผนกลนยุทธ์และการดำเนินการด้านการเงินด้วยตนเองเพื่อสำรวจและดำเนินการตามทางเลือกที่เป็นไปได้