‘ไทยประกันชีวิต’ลั่นกำไรโต ลุยขยายตลาด‘สุขภาพ’เพิ่ม

“ไทยประกันชีวิต” มั่นใจปี 68 สร้าง “กำไร” โตยั่งยืน ลุยขยายตลาด “สัญญาสุขภาพเพิ่มเติม-ประกันมูลค่าสูง” ลั่นภาวะ “ลงทุนผันผวน-มาตรฐานบัญชีใหม่-ดอกเบี้ยลด” ไร้กระทบ
นายไมเคิล เฮียง ลี Chief Financial Officer บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 คาดยังมีทิศทางเป็นบวก และ “อัตรากำไร” น่าจะปรับดีขึ้นจากปีก่อน ซึ่งยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้าขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม “สัญญาประกันสุขภาพ” เพิ่มเติมจากค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูง ลูกค้ายังต้องการเพิ่มขึ้น
โดยมุ่งเน้นการ “ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า” มีส่วนร่วมในเงินปันผล ประเภทสะสมทรัพย์ที่การันตีผลตอบแทน เมื่อเศรษฐกิจ และภาวะตลาดปรับตัวดีขึ้น ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้กับลูกค้าและผลักดันธุรกิจใหม่ ทำให้ผลกำไรบริษัทมีโอกาสเติบโตในปีนี้ พร้อมกับสร้างความแข็งแกร่งช่องทางการขายมากขึ้น โดยเฉพาะ “ช่องทางตัวแทน” มุ่งเน้นเสริมความรู้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับช่องทางตัวแทน และอำนวยความสะดวกในช่องทางอื่นๆ ให้กับลูกค้าเติบโตต่อเนื่อง
อีกทั้งมองว่า เงื่อนไข Co-paym
ent เริ่มเดือนมี.ค. ทำให้ช่วงนี้ลูกค้ามีความต้องการเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้ารีบตัดสินใจเลื่อนซื้อประกันเร็วขึ้นจากไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ปีนี้ มาเป็นในไตรมาสนี้ คาดว่าไม่ได้ทำให้ความต้องการในช่วงครึ่งปีหลังหายไปทั้งหมด ซึ่งบริษัทจะมีแคมเปญการตลาดเข้ามาสนับสนุนการขายสัญญายประกันสุขภาพเพิ่มเติมด้วย
“เราปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ปีก่อนจนถึงตอนนี้ภายใต้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังผันผวนสูงต่อเนื่อง มุ่งขายผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าและธุรกิจใหม่ของบริษัทเติบโต รวมถึงผลิตภัณฑ์ความคุ้มครอง สัญญาสุขภาพเพิ่มเติม ที่ยังมีความต้องการสูงจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น”
ด้านการลงทุนปีนี้ ยังคงเน้นลงทุนระยะยาว ให้สอดคล้องกับภาระหนี้ตามสัญญาประกันภัยของลูกค้าทุกกรมธรรม์ แม้ภาวะการลงทุนปีนี้มีความผันผวนสูงต่อเนื่องจากปีก่อน และอัตราดอกเบี้ยลดลง แต่มองเป็นผลกระทบต่อบริษัทระยะสั้น ทำให้สัดส่วนลงทุนน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อน แต่รายละเอียดสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภท คาดคงปรับให้สอดคล้องกับตลาดที่เปลี่ยนไป
โดยปีก่อนมีพอร์ตลงทุน 5.79 แสนล้านบาท สัดส่วนลงทุนส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ 80% ในปีที่ผ่านมาได้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนลงทุนพันธบัตรรัฐบาล ลดสัดส่วนการในหุ้นกู้ และปรับพอร์ตลงทุนหุ้น โดยเพิ่มการลงทุนหุ้นต่างประเทศ มากกว่าหุ้นในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ TFRS 9 ขอยืนยันว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน สัดส่วนการลงทุน ทั้งตราสารทุนดและตราสารหนี้ของบริษัท แต่จะมีการปรับเปลี่ยนครื่องมือการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ ที่เป็น “กองทุนรวม” มาเป็น “สัญญาว่าจ้างบริหาร” ผ่านผู้จัดการลงทุนต่างประเทศ
เนื่องจากมีการลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เป็นตราสารทุนต่างประเทศ ลงทุนต่อเนื่องมานานเกิน 10 ปี ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ TFRS9 บังคับใช้ ทำให้ราคาประเมินกองทุนรวม ส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนของบริษัท
จึงมองว่าไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ลงทุนของบริษัทที่เน้นลงทุนในตราสารทุนเพื่อลงทุนระยะยาว ทำให้บริษัทต้องหาเครื่องมือการลงทุนใหม่ ที่เหมาะสมกับการลงทุนและกลยุทธ์ลงทุนบริษัท โดยใช้การลงทุนที่เป็นสัญญาว่าจ้างผ่านผู้จัดการลงทุนต่างประเทศ ทำให้เราต้องขายกองทุนรวมที่ถือมาทั้งหมด เปลี่ยนไปเป็นสัญญาว่าจ้าง ทำให้บริษัทมีกำไรจากการลงทุนค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา