ดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์พุ่งกว่า 300 จุดฟื้นตัวต่อ ค้าปลีกหนุน

หุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวสูงขึ้นในวันจันทร์ ฟื้นตัวจากภาวะซบเซาในช่วง 4 สัปดาห์ผลจากนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี ทรัมป์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
ซีเอ็นบีซีรายงานภาวะ หุ้นวอลล์สตรีท วันจันทร์ (17 มี.ค.68) ว่า
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.64% ปิดที่ 5,675.12 จุด
ดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.31% และปิดที่ 17,808.66 จุด
ดัชนี Dow Jones Industrial Average พุ่งขึ้น 353.44 จุด หรือ 0.85% ปิดที่ 41,841.63 จุด ดัชนี 30
หุ้นได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นค้าปลีกรายใหญ่ Walmart และบริษัทเทค International Business Machines ที่ปรับขึ้น 2.5% และ 1.9% ตามลำดับ
หุ้นปรับตัวสูงขึ้นในวันจันทร์ เป็นการฟื้นตัวขึ้นต่อจากภาวะซบเซาในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงเวลา 4 สัปดาห์ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายภาษีศุลกากรที่ไร้ระเบียบของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
ดัชนีหลักทั้งสามตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันจากวันศุกร์ (14 มี.ค.68)
“เรากำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นชั่วคราวสวนทางกับแนวโน้ม” แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท วิจัย CFRA Research กล่าวกับซีเอ็นบีซี และเสริมว่าเขาเชื่อว่าการปรับฐานของ S&P 500 อาจจบลงที่ระดับ 5,400 ซึ่งหมายถึงการลดลงมากกว่า 4% จากระดับการปิดตลาดในวันจันทร์
“ไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงลึกมากนัก แต่… ผมคิดว่านั่นจะทำให้นักลงทุนที่ไม่มั่นใจจะขายออกไปจนเพียงพอที่จะทำให้ตลาดสามารถหาจุดต่ำสุดได้” เขากล่าวต่อ
รายงานยอดขายปลีกในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่น เนื่องจากผู้ค้าถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่ตัวเลขไม่ได้แย่ลง โดยยอดขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนนี้เทียบกับลดลง1.2%ในเดือนมกราคม
ตัวเลขเดือนกุมภาพันธ์ต่ำกว่าที่ Dow Jones คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% ตามตัวเลขเบื้องต้นของกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันจันทร์ แต่หากไม่รวมยานยนต์แล้ว การเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 0.3% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้
ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดปรับตัวลดลงเมื่อวันพฤหัสบดี(13 มี.ค.68) โดยลดลงมากกว่า 10% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจึงพุ่งขึ้น 2% ในวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่ร่วงหนัก
แม้ว่าวันศุกร์จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังถือเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายสำหรับ วอลล์สตรีท ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงในรอบสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2023 ดัชนี Nasdaq Composite
ยังคงอยู่ในเขตการปรับฐานลง ดัชนีที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีลดลง 11% จากระดับสูงสุดเมื่อปิดตลาดวันจันทร์
นักลงทุนกำลังดิ้นรนเพื่อให้ทันกับนโยบายภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของทรัมป์ รวมถึงความพยายามลดต้นทุนอย่างก้าวร้าวของกระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ของอีลอน มัสก์ ซึ่งทำให้ตลาดตกต่ำและเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมั่นขององค์กรธุรกิจ และผู้บริโภค
ความคิดเห็นจากฝ่ายบริหารที่ว่าความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจ และตลาดบางส่วนสามารถยอมรับได้เพื่อยกเครื่องหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่ควบคู่ไปกับนโยบายการค้าโลกก็ส่งผลกระทบต่อตลาดเช่นกัน
“ผมอยู่ในธุรกิจการลงทุนมา 35 ปีแล้ว และผมบอกคุณได้เลยว่าการปรับฐานลงนั้นเป็นเรื่องดี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวกับทีวีเอ็นบีซี เมื่อวันอาทิตย์ว่า “สิ่งที่ไม่ดีก็คือ ตลาดพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตกอยู่ในภาวะเคลิบเคลิ้ม ซึ่งนั่นเป็นที่มาของวิกฤติทางการเงิน จะดีกว่ามากหากมีใครสักคนเหยียบเบรกในปี 2006 และ 2007 เราคงไม่ประสบปัญหาเศรษฐกิจในปี 2008”
เบสเซนต์ ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่าอาจจำเป็นต้องมีช่วง “ดีท็อกซ์” เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐไปสู่การใช้จ่ายภาคเอกชนมากขึ้น กล่าวเสริมว่า “ไม่มีการรับประกัน” ว่าจะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
“การ ‘ดีท็อกซ์’ ประสิทธิภาพ การยกเลิกกฎระเบียบ และการค้าของสหรัฐ อาจหมายถึงความเจ็บปวดของตลาดมากขึ้นก่อนที่จีดีพี จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” เดเร็ค แฮร์ริส นักกลยุทธ์ด้านพอร์ตโฟลิโอของโบรกเกอร์ Bank of America Securities ระบุไว้ในบันทึกสุดสัปดาห์
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







