GULF หุ้นใหญ่อันดับ 5 ‘KBANK’ “ยุพาพิน” ลั่นลงทุนเพื่อรับปันผล 808 ล้าน - กำไรจากส่วนต่างราคา

GULF หุ้นใหญ่อันดับ 5 ‘KBANK’ หลังปิดสมุดทะเบียน ถือจำนวน 77 ล้านหุ้น สัดส่วน 3.25% “ยุพาพิน” ลั่นลงทุนเพื่อรับปันผล 808 ล้าน - กำไรจากส่วนต่างราคา
“กัลฟ์” เข้าถือหุ้น “ธนาคารกสิกรไทย” จำนวน 77 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.25% ขึ้นแท่น “ผู้ถือหุ้นใหญ่” อันดับ 5 รองจากสำนักงานประกันสังคม ด้าน “ยุพาพิน” ลั่นเป็นการลงทุนเพื่อรับ “เงินปันผล” คิดเป็น 808 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2568 และ “กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น” ขณะที่ “บล.ลิเบอเรเตอร์” ชี้อีกประเด็นสำคัญคือ ควบรวมระหว่างกัลฟ์ และอินทัชกลายเป็นบริษัทใหม่ที่อาจกลายเป็นหนึ่ง “ผู้นำ” ในตลาดหุ้นไทย
จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่าหลังปิดสมุด ณ วันที่ 13 มี.ค.2568 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ล่าสุด พบรายชื่อหนึ่งใน “ผู้ถือหุ้นใหญ่” คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 ด้วยจำนวน 77,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.25% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดในกิจการ ซึ่งเป็นรองจากสำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 4 จำนวน 80,643,140 หุ้น สัดส่วน 3.40%
ขณะที่ ช่วงวันที่ 14 เม.ย.2567 พบว่ากัลฟ์เป็นผู้ถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย ติดอันดับที่ 14 จำนวน 20,542,400 หุ้น คิดเป็น 0.87% ดังนั้น ระหว่างทาง 1 ปีที่ผ่านมา พบกัลฟ์มีการซื้อหุ้น KBANK เพิ่มเข้าพอร์ตลงทุนอีกกว่า 56 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของธนาคารกสิกรไทยได้ประกาศจ่ายปันผลพิเศษ 2.50 บาท รวมจ่ายปันผลในงวดครึ่งปีหลัง 2567 ที่ 10.50 บาท รวมทั้งปี 2567 จ่ายปันผลหุ้นละ 12 บาท คิดเป็นเงิน 2.8 หมื่นล้านบาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 15 พ.ค. 2568 และจ่ายปันผลในวันที่ 6 มิ.ย.2568
ในขณะเดียวกัน GULF และ INTUCH เตรียมขึ้นเครื่องหมาย SP ในวันที่ 21 มี.ค.2568 - 2 เม.ย.2568 โดยใช้ชื่อย่อ GULFI ก่อนที่จะกลับมาซื้อขายในวันที่ 3 เม.ย.2568 ภายใต้ชื่อย่อเดิมคือ GULF
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การลงทุนในหุ้น KBANK สัดส่วน 3.25% ถือเป็นการลงทุนทั่วไป เนื่องจากที่ผ่านมา “กัลฟ์” มี Portfolio การลงทุนอยู่แล้ว
โดยหุ้น KBANK เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง มีอัตราส่วน P/BV และ P/E ในระดับต่ำ มีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) เท่ากับ 7-8% ดังนั้น GULF จึงเข้าลงทุนในหุ้น KBANK โดยมุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผล และ Upside จากราคาหุ้นดังกล่าวในอนาคต
“ไม่มีอะไรเลย ถือเป็นการลงทุนทั่วไปตามปกติ ที่มีการลงทุนมานานแล้ว การลงทุนในหุ้น KBANKรอบนี้ คาดหวังรับรู้เงินปันผลเข้ามาในไตรมาสสองปีนี้ ราว 808.5 ล้านบาท และอัปไซด์จากราคาหุ้น”
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ ให้ความเห็นว่า จากกรณีการที่กัลฟ์เข้าถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย เพิ่มขึ้นในสัดส่วนถึง 3.25% นั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.68) มากนัก โดยหุ้น KBANK ปรับตัวขึ้นเพียงประมาณ 1% เท่านั้น
ทั้งนี้ การที่กัลฟ์เข้าไปถือหุ้นกสิกรไทยอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่น่าจับตามากกว่าคือ การควบรวมระหว่างกัลฟ์กับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ซึ่งจะกลายเป็นบริษัทใหม่ที่มีศักยภาพ และอาจกลายเป็นผู้นำตลาด (Leading Indicator) ตัวใหม่ของตลาดหุ้นไทยในอนาคต
โดยในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู้นำตลาด เช่น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA และ บริษัทแคล-คอมพ์อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET แต่เมื่อเริ่มมีการปรับฐาน ตลาดอาจต้องหาผู้นำคนใหม่ ซึ่งกัลฟ์ภายหลังการควบรวมกับอินทัชอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือก
ก่อนหน้านี้ กัลฟ์มีประวัติการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของกัลฟ์ที่ดำเนินกิจการด้านพลังงานไฟฟ้า และมีความเชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐานโดยรวม
สำหรับ กรณีการเข้าถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย มองว่าเป็นธนาคารที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยี เป็นผู้นำในด้านข้อมูล (Data) และเทคโนโลยีคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งไม่ได้ห่างไกลจากวิสัยทัศน์ของกัลฟ์มากนัก การจับมือระหว่างสององค์กรจึงอาจไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าการลงทุนครั้งนี้จะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรหรือโครงการร่วมกันในอนาคตหรือไม่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์