‘กูรู’ แนะถือเงินสดรอซื้อหุ้นถูก ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้เทรดวอร์ขยายวงกว้าง ชนวนเหตุศก.ถดถอย

‘กูรู’ แนะถือเงินสดรอซื้อหุ้นถูก ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้เทรดวอร์ขยายวงกว้าง ชนวนเหตุศก.ถดถอย

‘กูรู’ แนะถือเงินสดรอซื้อหุ้นถูก ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้เทรดวอร์ขยายวงกว้าง ชนวนเหตุเศรษฐกิจถดถอย แนะจับตา 2 เม.ย. ไทยจะโดนขึ้นลิสต์บัญชีด้วยหรือไม่ ติดตาม “สินค้าจีน” อาจทะลักเข้าไทย

เมื่อทั่วโลกตกอยู่ในภาวะ “เศรษฐกิจ” มีความไม่แน่นอนสูง จากสารพัดปัจจัยกระทบ โดยเฉพาะ 2 เม.ย. นี้ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรต่างตอบแทน ดังนั้น อาจมีโอกาสเห็นภาพ “การตอบโต้ไปมา” ของหลายประเทศ และนี่อาจจะเป็น “ชนวน” ทำให้สงครามการค้าขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น !! 

‘กูรู’ แนะถือเงินสดรอซื้อหุ้นถูก ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้เทรดวอร์ขยายวงกว้าง ชนวนเหตุศก.ถดถอย

และเหตุของความกังวลดังกล่าว ลามไปสู่ความกังวลว่า “เศรษฐกิจสหรัฐ” มีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” (Recession) เพิ่มมากขึ้น สอดรับกับก่อนหน้านี้ “บลูมเบิร์ก” มีการ “ปรับเพิ่มโอกาส” ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิมที่ 20% ถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ส่วน Goldman Sachs ได้ “ปรับลด” คาดการณ์การเติบโตของสหรัฐปี 2568 เหลือ 1.7% จากเดิม 2.4% จากกรณีสงครามการค้ารุนแรงขึ้น 

สะท้อนผ่าน “กูรู” ต่างมีมุมมองเป็นทิศทางเดียวกัน หากสหรัฐเดินหน้าสงครามการค้า ภาพใหญ่เศรษฐกิจสหรัฐถอถอยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่จะน้อยหรือมาก ! ดังนั้น เมื่อความไม่แน่นอนเข้ามาปกคุม “สินทรัพย์เสี่ยง” อย่าง “ตลาดหุ้น” ไม่พ้นต้องเผชิญภาวะ “เสี่ยงสูง” จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ !! 

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (วีไอ) ให้มุมมองกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กรณีตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนหนัก ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องสงครามการค้า โดยมอง “นโยบายภาษี” ของทรัมป์ จะทำให้เกิดภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” จากการที่มีการต่อสู้กันทางการค้า ซึ่งในทุกประเทศที่โดนก็มีการตอบโต้ออกมา

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์สหรัฐจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยกันมานาน แต่ยังไม่เกิด แต่ขณะนี้ถือว่าได้เวลาแล้ว จากการที่ “ทรัมป์จุดประกาย” ทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น คงจะถึงเวลาเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โลกก็ต้องรับกับสภาพการณ์ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะปรับตัวลงและรอดยาก

“ฉะนั้นช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการลงทุนตลาดหุ้น ดังนั้น คนที่มีเงินสดในมือจำนวนมากจะเป็นผู้ที่หัวเราะดังสุด หนึ่งในนั้นคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นคนมองการไกล มองขาด และเอาตัวรอดมาได้ตลอด และถือเป็นตำนานผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก”

โดยกลยุทธการลงทุนในช่วงนี้ การถือเงินสดเหมาะสมที่สุด เพราะว่าหากรีบเข้าไปในขณะนี้ถือว่าอันตราย มีความเสี่ยง เพราะเพิ่งเริ่มต้น และตลาดหุ้นทั่วโลกยังปรับตัวลงมาไม่เต็มที่ จึงยังต้องระมัดระวัง

ทั้งนี้ ส่วนตัวเก็บเงินสดไว้ค่อนข้างเยอะเป็นประวัติการของตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังน้อยมากแค่ 10% เพราะส่วนตัวลงหุ้น 100% มานาน เราไม่เคยเก็บเงินสด แต่หลัง ๆ หลายปีนี้ขายหุ้นไปบ้าง รับปันผลมาบ้างก็ไม่ได้ลงเพิ่ม ทำให้มีเงินสดเยอะ และรอดูจังหวะไปก่อนเพราะขณะนี้ถือว่ายังเสี่ยง และรอเข้าไปซื้อในราคาที่ถูก

“ทิวา ชินธาดาพงศ์” หรือ “เซียนมี่” นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย มีมุมมองว่า การทำสงครามการค้าของสหรัฐในครั้งนี้หากเกิดขึ้นจริงจากที่เลื่อนมาหลายครั้ง จะทำให้จีดีพีของสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่ส่วนตัวยังคงต้องรอติดตามหลังจากที่ทรัมป์ยังมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ทว่าหลังจากเดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป มีการปรับขึ้นภาษีจริงทั้งหมด คาดว่าจะเห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอย่างแน่นอน และกระเทือนไปทั่วโลก โดยเฉพาะเม็กซิโกหากขายของไปยังสหรัฐไม่ได้ก็จะทำให้ประเทศติดลบได้ ขณะที่ไทยอาจจะมองว่าไกลตัว แต่ก็ถือว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ได้มีการปรับพอร์ตแต่อย่างใด แต่ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอยู่ตลอดว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ หรือเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ทว่าเมื่อมีการปรับขึ้นภาษีอย่างจริงจังในเดือนเม.ย. 2568 ก็อาจจะต้องขายหุ้นออกมา

“ในสถานการณ์เช่นนี้กลยุทธคือ เลือกหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องเหล่านี้น้อย และมีดีมานด์อยู่ แต่ทว่าตอนนี้ความชัดเจนก็ยังไม่มี แต่ออเดอร์เริ่มไหลจากจีนเข้ามาที่ไทยจำนวนมาก ขณะที่คนสั่งสินค้าจากจีนเริ่มมีความกังวล จึงมีการย้ายฐานมาประเทศอื่น ซึ่งไทยเกินดุลการค้าสหรัฐเป็นลำดับที่ 11 แม้จะไม่ใช่เป้าแรก ๆ แต่ก็ยังต้องมอนิเตอร์ เพราะไทยที่ว่าได้ประโชน์อาจต้องเสียประโยชน์ด้วย”

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ วิเคราะห์ว่า จากการคำนวณ “จีดีพี” ของธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอดแลนตา ติดลบอยู่ที่ประมาณ 2% ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับท่าทีแข็งกร้าวของ ทรัมป์ ที่มีการปรับขึ้นภาษีจะกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต้องจับตาในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ที่จะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ว่าจะกระจายวงมากขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่แค่ จีน แคนาดา เม็กซิโก เท่านั้น

“ดูเหมือนในรอบนี้ทรัมป์มีความแข็งกร้าวจะไม่ยอมเลื่อนภาษีอีกแล้ว เลยทำให้ตลาดมีกังวล เพราะสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มมีการชะลอมากขึ้น”

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเร็วขึ้นหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ทว่าทรัมป์ดื้อดึงทำเช่นนี้ต่อไปก็จะทำให้มีความเสี่ยง ขณะที่เฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อให้ได้ก่อน ซึ่งหากยังไม่เห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่แย่จริง ๆ คาดว่าจะยังไม่น่าที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเฟดขณะนี้ถือว่าอยู่ในโหวดระมัดระวังและจนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อลงถืงจะยอมรับปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษี เงินเฟ้อก็จะไม่ลง ซึ่งทรัมป์ยอมเจ็บก่อนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นยังคงมีความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะจะเข้าไปเทรดดิ้ง แต่แนะนำให้ถือในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเน้นหุ้นปันผล หุ้น Defensive ที่ได้รับผลกระทบน้อยจากความไม่แน่นอนในต่างประเทศ

“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส วิเคราะห์ให้ฟังว่า ความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจจะเกิดภาวะถดถอย หลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีได้ 50 วัน ได้ออกมาตรการสงครามการค้า ในฝั่งของจีน และขยายออกไปในหลาย ๆ ประเทศ อย่าง เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งในรอบนี้มีการตอบโต้กันกลับไปมา ทำให้เกิดไม่ชัดเจน ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดการชะลอลง ทั้งนี้ ในช่วงสงครามการค้ารอบแรก เงินเฟ้อสหรัฐอยู่ที่ 2% แต่ทว่าในรอบนี้เงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ดังน้ันการใช้นโยบายต่าง ๆ ดูจะยากขึ้น เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้น

ขณะที่ ไทยมีการพึ่งพิง “ส่งออก” อยู่ราว 60-70% ของจีดีพี อาจจะทำให้เกิดความกังวลไปด้วย อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่จะมีการตอบโต้ทางภาษีของทรัมป์ต่อหลาย ๆ ประเทศ ก็ต้องมาลุ้นว่าไทยจะโดนขึ้นลิสต์ในบัญชีด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ การที่จีนโดนตั้งกำแพงภาษีจากทรัมป์ สินค้าจีนก็อาจไหลเข้ามาสู่ไทย

ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก หลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งมา 50 วัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวลงมาตามเช่นกันเดียว หากย้อนกลับไปดูช่วงที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งวันที่ 5 พ.ย. 2568 ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่เกือบ 1,500 จุด ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนลงมาแถว 1,160 จุด หรือเกือบ 350 จุด ซึ่งถือว่ามีความกังวลต่อนโยบายทรัมป์ไประดับหนึ่ง ซึ่งยังคงมีความกลัว กังวลต่อนโยบายทรัมป์ยังมีอยู่ ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้าลงทุน