‘หุ้นญี่ปุ่น’ แรงสวนทางหุ้นโลก หลังเงินเฟ้อ-BOJ ขึ้นดอกเบี้ย ดันแบงก์พุ่ง

‘หุ้นญี่ปุ่น’ แรงสวนทางหุ้นโลก กูรู เผย หลังเงินเฟ้อ-BOJ ขึ้นดอกเบี้ย ดันแบงก์พุ่ง ทำ All Time High ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังในญี่ปุ่น หนีไม่พ้นสงครามการค้าเพราะญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าหลัก
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้าซบเซา จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าปัจจุบันเงินเฟ้อกับญี่ปุ่นกลับเพิ่มขึ้นมาได้ พุ่งทะยานไปถึง 4% “ธนาคารกลางญี่ปุ่น” (BOJ) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นด้วย ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยหรือคงดอกเบี้ย ส่งลให้หุ้นกลุ่มธนาคารเอาต์เพอร์ฟอร์มขึ้นมา ล่าสุด บริษัท เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ อิงค์ ของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เพิ่มสัดส่วนลงทุนใน 5 บริษัทหุุ้นรายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเกือบ 10%
“เจตอาทร สองเมือง”, CFA ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Quantitative บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากย้อนไป 2-3 ปีที่ผ่านมาญี่ปุุ่นได้รับผลกระทบเงินเฟ้อติดลบมาตลอด ทำให้ตลาดหุ้นไม่โต แต่ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นมีการผลักดันไปที่บริษัทต่าง ๆ ให้มีนโยบายในการเพิ่มค่าแรง ซึ่งบางบริษัทใหญ่ ๆ มีการประกาศจะเพิ่มขึ้น 4-5% จึงทำให้เงินเฟ้อเริ่มมา ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในปีนี้มีการปรับขึ้นมาแล้วรอบหนึ่ง และคาดกลางปีนี้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง จึงกลายเป็นโฟลว์ตอนนี้ไหลไปที่หุ้นญี่ปุ่น ขณะที่ค่าเงินญี่ปุ่นเริ่มกลับมาแข็งค่า ขณะเดียวกันทิศทางทั่วโลกไม่คงอัตราดอกเบี้ยก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ฉะนั้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์เด่นชัดในหุ้นญี่ปุ่นคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีการปรับดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้หุ้นแบงก์ใหญ่ ๆ ทำ All Time High หมด หุ้นญี่ปุ่นถือว่าไม่แพง ขณะที่ “วอเรน บัฟเฟต” ปรับพอร์ตเข้ามาลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นตั้งแต่ต้นปีทยอยซื้อเพิ่ม แต่บัฟเฟตลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นการเพิ่งเข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นยังคงปรับเพิ่มขึ้น สวนทางกับดาวโจนส์ หรือ Nasdaq 100 แต่กลุ่มยานยนต์มีการแข่งขันสูงทำให้ยังคง Underperform สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวังในญี่ปุ่น คงหนีไม่พ้นสงครามการค้า เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าหลักยังคงต้องจับตาว่าทรัมป์จะมีนโยบายกับพันธมิตรอย่างไร
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าว่า ก่อนหน้านี้ทุกคนจะติดภาพญี่ปุ่นมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่มาคราวนี้ญี่ปุ่นเริ่มมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ Yen Carry Trade จะค่อย ๆ หายไป ผู้คนจะเริ่มไม่กู้ญี่ปุ่น แต่จะกลับมาลงทุนในญี่ปุ่น เนื่องจากค่าเงินเยนเริ่มแข็งค่าขึ้น ฉะนั้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้า เนื่องจากจะได้รับผลประโยชน์ 2 เด้ง จากหุ้นขึ้นและค่าเงินแข็งค่า
ขณะที่ ญี่ปุ่นมีโปรแกรมที่ชื่อ NISA หรือ Nippon Individual Saving Account ได้สนับสนุนให้คนญี่ปุ่นออมหุ้นในทุก ๆ เดือน และได้สิทธิลดหย่อนภาษี แต่ไม่สามารถขายได้จนกว่าจะเกษียณ จึงเป็นเหตุผลให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งไทยก็กำลังศึกษากรณีดังกล่าวเช่นกัน เพราะจะทำให้ ROE เพิ่มขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้มีการส่งเสริมเซนติเมนต์หุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากปัจจุบัน BOJ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นตัวพลิกขึ้นมา
ทั้งนี้ หุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เซกเตอร์ที่น่าสนใจ ได้แก่ คอนซูเมอร์ หรือการบริโภคของคนญี่ปุ่น เนื่องจากว่า การบริโภคของญี่ปุ่นไม่ได้มีปัญหา ขณะที่เซกเตอร์ธนาคารมีความแข็งแกร่ง ส่วนเซกเตอร์ที่ไม่ค่อยดีในขณะนี้คือ รถยนต์ เพราะได้รับผลกระทบจากการมาของอีวี
“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหลังจากที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นำบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เข้าไปเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อญี่ปุ่นพุ่งขึ้นมา 4% ทำให้อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนภาษีการค้ากับสหรัฐ คาดว่า ญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับหุ้นญี่ปุ่นกลุ่มส่งออกค่อนข้างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ เช่น หุ้นโตโยต้า เป็นต้น แต่ปัจจุบันค่าเงินเยนแข็งค่ามากขึ้น ชะลอการอ่อนค่า และพลิกกลับมาแข็งค่าด้วยทำให้หุ้นส่งออกญี่ปุ่นทำให้ได้รับผลกระทบ และได้รับความสนใจน้อยลง ขณะที่กลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศญี่ปุ่น และท่องเที่ยวถือว่าดีมาก ๆ