หุ้นไทยเช้านี้บวก 5.83 จุด ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค หลังตลาดหุ้นอินโดฯ พุ่งแรง

หุ้นไทยเช้านี้ณ วันที่ 26 มี.ค.2568 ตลาดอยู่ที่ 1,190.76 จุด บวก 5.83 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.49% นักวิเคราะห์ระบุ ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค หลังตลาดหุ้นอินโดนีเซียพุ่งแรง แนะนำเทรดดิ้งแค่รีบาวด์ระยะสั้น แนะจับตานโยบายภาษีทรัมป์ 2 เม.ย. นี้
ความเคลื่อนไหวตลาด "หุ้นไทย" เปิดภาคเช้า ณ วันที่ 26 มี.ค.2568 ตลาดอยู่ที่ 1,190.76 จุด บวก 5.83 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.49% มูลค่าการซื้อขาย 6,049.24 ล้านบาท
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด FSS บริษัทในเครือ บล. ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ฟื้นตัวได้ตามภูมิภาค โดยรวมถือว่าสอดคล้องกับที่ประเมินไว้ จากสัปดาห์ที่ผ่านมายืนเหนือแนว 1180 จุดได้ ทำให้มีโอกาสขึ้นทดสอบกรอบบนบริเวณ 1200-1210 จุด ก็เป็นไปได้ และได้รับแรงหนุนจากการซื้อหุ้นคืนจากหุ้น HMPRO
ทั้งนี้ ในช่วงเช้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียบวกแรง 3% และได้อยู่ในโซนเดียวกันจึงได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย โดยตลาดมีความคาดหวังว่า หลังจากที่ค่าเงินอินโดนีเซียมีการอ่อนค่าสุดในรอบตั้งแต่ปี 2540 ขณะที่แบงก์ชาติอินโดนีเซียเริ่มเข้ามาแทรกแซงจึงทำให้เกิดลดความกังวลลงไปได้ จึงทำให้หุุ้นอินโดนีเซียบวกขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังสามารถเก็งกำไรในฝั่งบวกรับการรีบาวด์ระยะสั้นได้ แต่ทว่าตลาดยังคงไปไหนไม่ได้ไกล เพราะยังขึ้นอยู่ในช่วงสัปดาห์หน้าวันที่ 2 เม.ย.2568 ภาษีทรัมป์จะมีความรุนแรงมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นยังคงเน้นเทรดดิ้งในกลุ่ม Domestic Play
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สหรัฐฯรายงานยอดขายบ้านใหม่ เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น +1.8%m-m ฟื้นจากเดือนมกราคมที่ -6.9%m-m แต่ยังต่ำกว่าตลาดคาดที่ +3.5%m-m ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก Conference Board เดือนมีนาคม ลดลงสู่ระดับ 92.9 จาก 100.1 และต่ำกว่าคาดที่ 94.0 เป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากผู้บริโภคกังวลว่านโยบายของทรัมป์จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีตลาดยังคงรอการรายงานตัวเลขสำคัญในช่วงปลายสัปดาห์ทั้ง 4Q24 US GDP และ US Core PCE ซึ่งถือเป็นตัวเลที่ FED ใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินในช่วงถัดไป
ด้านราคาน้ำมันดิบยังคงแกว่งแคบ ท่ามกลางข่าวพลังงานที่ผสมผสาน เช่น ข่าวรัสเซียและยูเครนตกลงที่จะยุติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน, การขู่ขึ้นภาษีประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอล่า และรายงานสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์จาก API ที่ลดลง 4.6 ล้านบาร์เรล แต่คืนนี้ตลาดคาดตัวเลขสต๊อกน้ำมันจาก EIA จะเพิ่มขึ้นราว 1.2 ล้านบาร์เรล
ส่วนปัจจัยในประเทศ พบว่าปริมาณการซื้อขายยังคงเบาบาง ท่ามกลางกระแสเงินทุนต่างชาติที่ยังไหลออก สอดคล้องค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ล่าสุดทดสอบระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้น SET ยังอยู่ในช่วงการย่ำฐาน ในกรอบ 1180-1200 จุด โดยแนะย่อสะสมหุ้นโซนล่าง ที่แนวโน้มกำไรฟื้นตัว และมี Valuation ไม่แพง
BBIK คาดรายได้ปีนี้เติบโตแกร่งราว 20-30% ตามอุตสาหกรรม Digital transformation ที่ขยายตัวดี ผสานธุรกิจ AI, cloud, virtual bank , data center ที่ยังเป็นปัจจัยเสริม หนุน Backlog ยังอยู่ในระดับสูง ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดเพียง PE2025 ที่ 15.7 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยการเติบโตยังแข็งแกร่งราว +30%y-y คิดเป็น PEG Ratio เพียง 0.5 เท่า เป็นระดับที่น่าทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท