ผวา! ‘แผ่นดินไหว’ โบรกคาด สะเทือน SET จันทร์นี้ หุ้น ‘อสังหาฯ-ท่องเที่ยว’ ส่อวูบหนัก

ผวา! ‘แผ่นดินไหว’ โบรกคาด สะเทือน SET จันทร์นี้  หุ้น ‘อสังหาฯ-ท่องเที่ยว’ ส่อวูบหนัก

โบรกคาดเหตุการณ์ “แผ่นดินไหวเมียนมาร์” กระทบ “หุ้นไทย” ระยะสั้น “บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์” มองกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ยกให้ “อสังหาฯ-ท่องเที่ยว-ขนส่งมวลชน” ส่วนกลุ่มซ่อมแซมบ้านจะได้ประโยชน์ “บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ในระดับ 1,150 จุด

ตื่นตระหนกกันทั้งประเทศจากเหตุระทึก “แผ่นดินไหวรุนแรง” โดยศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมาร์ แต่สั่นสะเทือนถึงเมืองไทยจนเกิดความโกลาหลอย่างหนักในช่วงวันศุกร์ (28 มี.ค.2568) ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องประกาศแจ้งปิดการซื้อขายทุกตลาด ทั้ง SET mai และ TFEX ในภาคบ่ายและภาคกลางคืน ตั้งแต่เวลา 14.07 น.เป็นต้นไป

ผวา! ‘แผ่นดินไหว’ โบรกคาด สะเทือน SET จันทร์นี้  หุ้น ‘อสังหาฯ-ท่องเที่ยว’ ส่อวูบหนัก

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบหลายด้าน จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้หยุดทำการซื้อขายในภาคบ่ายทันที ถือว่าทำถูกต้องที่สุดแล้ว เนื่องจากผู้คนมีความหวาดกลัวยังไม่กล้ากลับเข้าไปในออฟฟิศ แต่มองเป็นผลกระทบระยะสั้น คาดในช่วง 1-2 วันหลังจากนี้จะมีการตรวจสอบอาคาร ทำให้เห็นข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันลดน้อยลง

ทั้งนี้ คาดกลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบ คงต้องยกให้ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ขณะที่ “กลุ่มท่องเที่ยว” อาจจะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน หากนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาพักในโรงแรมอาจจะต้องขอยกเลิกไปก่อน ดังนั้น การท่องเที่ยวอาจจะลดลง และในช่วงนี้เป็นช่วงที่โลซีซั่นคาดว่าน่าจะปรับตัวลงมาบ้างแต่ก็ไม่มาก

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงสึนามิ ตึกสูงในกทม.ก็สั่นคล้าย ๆ แบบนี้เช่นกัน แต่ไม่แรงเท่าครั้งนี้ ซึ่งทุกคนก็เกิดความกลัวกันไปสักระยะหนึ่ง ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าไปเที่ยวยังภูเก็ต พังงา แต่พอผู้คนเริ่มคลายความวิตกกังวลลงไปได้ก็จะกลับมาเช่นเดิม

สิ่งที่น่าจับตามองและเป็นกังวลมาก ๆ ปัจจัยภายนอกประเทศ คงหนีไม่พ้นความเสี่ยงในการถูกเก็บภาษี Reciprocal Tariff ในวันที่ 2 เม.ย. นี้ แม้ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะมีการผ่อนปรน แต่ย้อนไปช่วงที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐ ออกมาบอกว่าประเทศที่จะโดนคือ 15 ประเทศ ซึ่งในนั้นมีไทยอยู่ด้วย จากเกณฑ์ของสหรัฐที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และจะมีการจัดเก็บภาษีนำเข้ากับสหรัฐมากกว่าที่สหรัฐจัดเก็บ นั่นคือความไม่แฟร์ อย่างไทยคือ ได้รับสิทธิทางภาษีกับสหรัฐค่อนข้างมาก โดยเงื่อนไขทางภาษีเป็นเกมการเมืองที่จะทำให้เราต้องทำตามสหรัฐ ซึ่งหากมีการบีบก็จะใช้มาตรการภาษีเข้ามาบีบ

“ไทยเป็นหนึ่งใน 15 ประเทศ คาดว่าจะโดนค่อนข้างสูง แต่ทว่าไม่โดนก็ถือว่าดีที่สุด และวันจันทร์ที่ 31 มี.ค.2568 จึงทำให้กลัวและกังวลว่า ไทยจะโดนหรือไม่โดน และถ้าโดนก็จะมีระดับการจัดเก็บภาษีอยู่ที่ 3 ระดับ 5% ระดับ 10% และ 15% ซึ่งทุก ๆ 1% จะกระทบจีดีพี 0.1% นั่นแปลว่า หากไทยโดนภาษีที่ 5% จีดีพีก็จะหายไป 0.5% ขณะที่ไทยคาดการณ์ว่า จีดีพีปีนี้ไทยอยู่ที่ 2.5% ก็จะเหลือจีดีพีที่ 2% และในกรณีเลวร้ายหากทรัมป์ขึ้นภาษีที่ 10% จีดีพีไทยก็จะหายไป 1% ก็ทำให้จีดีพีไทยโตได้ไม่ถึง 2% ดังนั้นคาดว่า ธปท. อาจจะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้อีก 1 ครั้ง”

ทั้งในการสหรัฐขึ้นภาษีใน 15 ประเทศ ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐรวมกันประมาณ 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หากมีการปรับขึ้นภาษีมามูลค่าการค้าที่ส่งเข้าไปในสหรัฐ 3.66 ล้านล้านเหรียญในแต่ละปีก็จะต้องได้รับผลกระทบจากราคาสินค้า และเงินเฟ้อก็จะพุ่งก็ถือว่าค่อนข้างหนักสำหรับสหรัฐเช่นกัน ซึ่งนี่ยังไม่ได้มีการนับรวมจากการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ด้วย

และมีการคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบอยู่ที่ 0.7% ต่อทุก ๆ ภาษีที่ขึ้น 1% หากทรัมป์ปรับขึ้นที่ 5% ดัชนีหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบที่ 3.4-4% นั่นหมายความว่า ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวมาถึง 40 จุด

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองดาวน์ไซด์ดัชนีหุ้นไทยจากการหยุดทำการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คาดวันนี้ (31 มี.ค.2568) น่าจะปรับตัวลงมา โดยมองดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ในระดับ 1,150 จุด แต่ก็ยังไม่สามารถรับรู้หรือคาดการณ์ได้จะปรับตัวลงไปลึกระดับใด

ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนคือ กลุ่มอสังหาฯ โดยเฉพาะที่มีโครงการคอนโดมิเนียม ส่วนกลุ่มที่สองที่จะได้รับผลกระทบ “กลุ่มขนส่งมวลชน” หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหว ทำให้การเดินทาง อาจจะได้รับผลกระทบทาง Traffic ทั้ง MRT และ BTS รวมถึงการขับรถ และกลุ่มที่สาม “กลุ่มท่องเที่ยว” ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมในประเทศ ขณะที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็น “กลุ่มตกแต่งบ้าน” อย่างหุ้น HMPRO

“ในส่วนของหุ้นอสังหาฯ ผู้บริโภคอาจจะยังคงกังวลสำหรับคอนโดมิเนียมที่มองว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยวแนวราบ แต่ถ้าเทียบกับช่วงปี 2554 ในช่วงที่น้ำท่วมตอนนั้นคนกลัวก็อยากที่จะซื้อคอนโดมิเนียม แต่ตอนนี้กลับขากันเพราะมีเรื่องของแผ่นดินไหวคนจะกลัวว่า ยิ่งตึกสูงยิ่งเสี่ยง ดังนั้น หุ้น SPALI ORI ในวันนี้อาจได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ส่วนหุ้น BEM อาจจะต้องรอจังหวะเข้าลงทุน ขณะที่กลุ่มแบงก์สามารถเข้าไปลงทุนได้ รวมถึงกลุ่มส่งออก อย่าง HANA และสามารถเทรดดิ้งได้ในหุ้น HMPRO”