S&P 500 ร่วงหนักสุดตั้งแต่โควิด-19 มูลค่าเสียหาย 2.5 ล้านล้านดอลลาร์

หุ้นร่วงลงในวันพฤหัสบดี ส่งS&P 500 ลดลงในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ตลาดหวั่นการขึ้นภาษีศุลกากรสูงของทรัมป์ ก่อสงครามการค้า เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
บลูมเบิร์ก/ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี (3 เม.ย.68) ว่า ดัชนี S&P 500 ซึ่งสะท้อนตลาดรวมดิ่งลง 4.84% และปิดที่ 5,396.52 จุด ซึ่งเป็นวันที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 1,679.39 จุด หรือ 3.98% ปิดที่ 40,545.93 จุด และถือเป็นวันที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ดัชนี Nasdaq Composite ดิ่งลงหนัก 5.97% และปิดที่ 16,550.61 จุด ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 การร่วงลงของหุ้นในดัชนี S&P 500 มากกว่า 400 ตัวที่ร่วงลง
หุ้นสหรัฐ ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติโรคระบาด โดยมูลค่าตลาด S&P 500 หายไป 2.5 ล้านล้านดอลลาร์(85.4 ล้านล้านบาท) เนื่องจากมาตรการภาษีการค้าครั้งใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างกว้างขวาง สงครามการค้าโลก และทำให้ผู้ลงทุนมองหาพันธบัตรที่ปลอดภัย รวมถึงเงินเยน
ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 4.8% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 และเข้าสู่การปรับฐานทางเทคนิคอีกครั้งหลังจากตลาดทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก ตั้งแต่โตเกียวไปจนถึงลอนดอน ดัชนี Nasdaq 100 ร่วงลง 5.4% ซึ่งเป็นวันที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 โดยถูกกดดันจากการร่วงลง 9% ของ Apple ขณะที่หุ้น Nvidia และ Tesla ต่างก็ร่วงลง
ทั้งผู้ผลิตรองเท้าผ้าใบไปจนถึงเครื่องแต่งกายต่างก็ร่วงลงหลังจากที่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีใหม่กับประเทศผู้ผลิตที่สำคัญ รวมถึงเวียดนาม และอินโดนีเซีย ราคาหุ้น Nike ร่วงลง 14% Lululemon Athletica, Abercrombie & Fitch Co. และ Gap ก็ร่วงลงเช่นกัน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ที่สูงที่สุดในรอบศตวรรษ โดยระบุว่าเขาจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐ 10% และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจาก 60 ประเทศที่สูงมากกว่า เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับสหรัฐ
- หุ้นเล็กร่วงหนัก
หุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ หุ้นของบริษัทขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในตลาด ซึ่งส่งสัญญาณเตือนไปยังนักลงทุน ดัชนี Russell 2000 ร่วงลง 6.6% สู่ภาวะที่เรียกว่าตลาดหมีทางเทคนิค หลังจากที่ร่วงลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดในช่วงปลายปี 2021
แม้ว่าการขายหุ้นจะกระจายไปในวงกว้าง แต่ผู้ลงทุนก็คัดหุ้นเสี่ยงออกจากพอร์ตโฟลิโอของตน ทำให้หุ้นของบริษัทที่เติบโตเร็วซึ่งเป็นผู้นำตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบมาก
- ความผันผวนกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
โดยดัชนีความผันผวนของ (VIX) หรือดัชนีความกลัว พุ่งสูงถึง 30 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปีนี้ หากมีการเทขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่องในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลจะประกาศรายงานการจ้างงานประจำเดือนมีนาคม อาจทำให้ดัชนี S&P ร่วงลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ใน 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“รายงานการจ้างงานนี้มีความสำคัญมาก” จูลี บี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทจัดการลงทุน Kayne Anderson Rudnick กล่าว “ตอนนี้เรามีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น เนื่องจากมีการจัดเก็บภาษีมากกว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และนี่จะทำให้เรามองเห็นภาพได้ว่าการจ้างงานแข็งแกร่งเพียงใดก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษี”
ในวันศุกร์ นักลงทุนจะได้ดูตัวเลขการจ้างงานรายเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญชิ้นแรกสำหรับไตรมาสนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อตลาดพันธบัตร หุ้น และสกุลเงินต่างๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเฟด ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยจะวิเคราะห์สัญญาณของความอ่อนแอที่แพร่กระจายไปยังแรงงาน
- ตลาดอนุพันธ์กำลังประเมินความผันผวนในอนาคต
สจ๊วร์ต ไกเซอร์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นสหรัฐ ของธนาคาร Citigroup กล่าวว่า ผู้ซื้อขาย ออปชันคาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนไหวราว 1.4% ในทั้งสองทิศทางในวันศุกร์หลังจากการประกาศตัวเลขการจ้างงาน
ด้าน จอห์น คันนิสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของธนาคาร Baker Boyer กล่าวว่า “ขอบเขตของภาษีศุลกากร และจำนวนประเทศที่ได้รับผลกระทบถือเป็นการช็อกครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความกลัวว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าระยะยาวที่จะมาถึง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาด และทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน” เขาเสริมว่า “นี่หมายความว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอยหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าตลาดส่งสัญญาณว่าจำเป็นต้องมีการรีเซตแนวโน้มการเติบโต”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์