ภาษีทรัมป์ 36% ทุบ ‘อาหารสัตว์ - ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์’ โบรกเกอร์ แนะ ‘เลี่ยง’ กลุ่มส่งออก

หุ้น “กลุ่มส่งออก” ร่วงแรง หลังไทยโดนผลกระทบภาษีทรัมป์ 36% “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” แนะ “เลี่ยงลงทุน” กลุ่มอาหารสัตว์-ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” ชี้ “หุ้นกลุ่มอาหารสัตว์” มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะยอดส่งออกที่มีไปยังสหรัฐ แนะนำ “ชะลอลงทุน”

นับเป็นอีกหนึ่งครั้งในประวัติศาสตร์ที่ทำทั่วโลกช็อก จากมาตรการจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ ค่อนข้างรุนแรงเหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เป็นฐานผลิตของจีนที่ดูเหมือนว่าจะได้รับกดดันค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม กัมพูชา รวมถึงไทย ที่โดนจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% ส่งผลกระทบต่อ “ส่งออกไทย”

ความเคลื่อนไหว “กลุ่มส่งออก” วานนี้ (8 เม.ย.68) ปรับตัวลดลงแรง โดยเฉพาะกลุ่มมีรายได้ส่งออกไปสหรัฐระดับสูง โดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ปหรือ TU ราคาไม่เปลี่ยนแปลง บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ITC ลดลง 4.51% บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ AAI ลดลง 15.29% บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN ลดลง 6.99% และ บมจ.โรแยล พลัส หรือ PLUS ลดลง 13.10%

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเก็บภาษีทางการค้าตอบโต้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในภาพของเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ประกาศภาษีการค้าการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับหุ้นในกลุ่มส่งออกในอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบให้การส่งออกไปยังสหรัฐมีการชะลอตัวได้ หรืออาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกทั้งโลกที่ชะลอจากนโยบายภาษีการค้าไปด้วย

ทั้งนี้ ส่งออกไทยไปยังสหรัฐคิดเป็น 18% ของส่งออกโดยรวม ซึ่งถือว่าค่อนข้างมาก เพราะทำให้อัตราภาษีส่งออกอาจลดลงไป 20-30% แต่ไม่ได้จบแค่นี้ หากตัวเลขการค้าของสหรัฐปรับตัวลงมา และประเทศอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะปรับตัวลดลงไปด้วย ดังนั้น จึงทำให้มีผลต่อส่งออกโดยตรง

โดยกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบหลักๆ จะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ในบ้านเรา และอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐค่อนข้างจะเยอะ เช่น TU หรือ ITC ที่มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐสูง

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่มีสูงขึ้น ทำให้การลงทุนทั่วโลกชะลอตัวลง แม้ก่อนหน้านั้นจะมีการย้ายฐานผลิตมายังไทย และเวียดนามก็ตาม แต่ในรอบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ทำให้ภาพการย้ายฐานผลิตหยุดชะงัก เพราะนักลงทุนก็ไม่มั่นใจ หรืออาจจะต้องย้ายไปยังอเมริกาใต้หรือประเทศที่มีภาษีที่ต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลกต้องทบทวนแผนการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำดาต้าเซนเตอร์ยังชะลอแผนการลงทุน ทำให้ส่งผลกระทบหนักไปยังกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีการเจรจาซื้อที่ดินกันแล้ว แต่โอกาสที่จะชะลอในเรื่องของการโอน หรือการซื้อขายที่ดินยังคงมีสูงมากๆ ดังนั้น คาดผลประกอบการในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีความเสี่ยงสูง และอาจจะชะลอตัวไปในระยะยาวมากขึ้น จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงมาค่อนข้างที่จะแรง

“ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบควรหลีกเลี่ยง เพราะการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่จะแค่ระยะสั้นๆ แต่ในรอบนี้จะเป็นการเปลี่ยนเกม และเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่กระทบกับไทย ซึ่งส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นลักษณะการฝากส่งออกที่มาจากทางจีน เช่น อาจจะเป็นสินค้าจีนที่เข้าไทยมา และมีการทำเพิ่มเติมนิดหน่อย และส่งออกไป และเมื่อสหรัฐซีเรียส และจริงจังเรื่องนี้มากขึ้น เราจึงตอบไม่ได้ว่าสัดส่วนสินค้าที่จีนผ่านไทยไปสหรัฐอาจจะหายไป และอาจจะทำได้ไม่เหมือนเดิม แต่เบื้องต้นยังประเมินไม่ได้ว่าจะกระทบขนาดไหน”

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า หุ้นกลุ่มส่งออกวานนี้ปรับตัวร่วงลงมาค่อนข้างแรง ซึ่งผลกระทบหุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกันออกไป อาหารสัตว์ อาหาร หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตลาดมองว่า หุ้นกลุ่มอาหารสัตว์มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะยอดส่งออกที่มีไปยังสหรัฐ อย่าง AAI และ ITC และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รองลงมา โดยหุ้นที่โดนจะเป็น KCE ที่มีส่งรถยนต์ไปยุโรป และยุโรปมีปัญหาเรื่องภาษีกับสหรัฐ ขณะที่ HANA ก็ได้รับผลกระทบแต่อาจจะน้อยกว่า KCE

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มส่งออกก็ยังปรับตัวลงมา ฉะนั้น กลุ่มนี้แนะนำว่า อย่าเพิ่งเข้าไปลงทุน หรือ "หลีกเลี่ยง" ก่อน เพราะได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้เกิดแรงเทขายออกมา

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์