‘กูรู’ยก 3 ตลาดหุ้นจ่อรีเทิร์นเด่น ‘อินเดีย ญี่ปุ่น ลาตินอเมริกา’ อานิสงส์ภาษีทรัมป์สะเทือน ‘จำกัด’

‘กูรู’ยก 3 ตลาดหุ้นจ่อรีเทิร์นเด่น ‘อินเดีย ญี่ปุ่น ลาตินอเมริกา’ อานิสงส์ภาษีทรัมป์สะเทือน ‘จำกัด’ ด้านสินทรัพย์ปลอดภัย ยกให้ “ทองคำ-MSCI Infra” หลังผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเป็นบวก
พลันที !! ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) แบบเหมาเข่งไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดย “ประเทศไทย” ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ประเด็นดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือน “สินทรัพย์เสี่ยง” และเป็นการซ้ำเติม “ตลาดหุ้นทั่วโลก” เผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า แม้หลังจากนั้น “ทรัมป์” จะประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษี Tariff ออกไป 90 วัน และอยู่ในขั้นตอนของการเข้าเจรจาทางภาษีในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งใช่ว่าความไม่แน่นอนจะจางหาย แต่กลับกันตลาดหุ้นทั่วโลกจะถูกปกคุมไปด้วยความผันผวนไปจนกว่าจะมีความชัดเจน
สะท้อนผ่านสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกดิ่งหนัก ด้วยนักลงทุนไม่มั่นใจต่อ “เศรษฐกิจทั่วโลก” จะได้รับผลกระทบมากน้อยระดับไหน ! และหวั่นอาจเกิดภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ขณะที่ “ดัชนีหุ้นไทย” ติดลบ 18% ซึ่งเมื่อสินทรัพย์เสี่ยงถูกเทขายหนัก ดังนั้น สินทรัพย์ปลอดภัยที่เป็น “หลุมหลบภัย” (Safe Haven) ในยามที่การลงทุนทั่วโลกผันผวนรุนแรง คงต้องยกให้ 3 สินทรัพย์ “ทองคำ” ที่ตั้งแต่ต้นปี 2568 สร้าง “ผลตอบแทนการลงทุน” ระดับ 25.28% “MSCI Infra” ผลตอบแทนระดับ 10% และ “หุ้นอินเดีย” ผลตอบแทนระดับ 0.87%
ขณะที่ “ตลาดหุ้นทั่วโลก” ภายใต้ความไม่ชัดเจนของนโยบายของทรัมป์ที่ปกคุมไปอีก 90 วัน ทว่าในความไม่แน่นอน ยังมีี “โอกาสลงทุน” สำหรับตลาดหุ้น โดยบรรดาเหล่า “กูรู” ให้มุมมองการลงทุนกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ยังมีตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ “จำกัด” ยกให้ 3 ตลาดหุ้น ประกอบด้วย “อินเดีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้” เนื่องจากเป็นประเทศแรกที่เริ่มเข้าไปเจรจากับสหรัฐก่อน จึงทำให้ 3 ประเทศเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบจำกัด โดยเฉพาะ “หุ้นอินเดีย” เมื่อดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถือว่า Outperform ขึ้นมาได้เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า “ตลาดหุ้นอินเดีย” มีความน่าสนใจ แม้ Valuation ค่อนข้างแพง แต่อินเดียมีการปรับกลยุทธในการเจรจาภาษีสหรัฐ และดูท่าทีจะได้เปรียบ ขณะที่อายุค่าเฉลี่ยของประชาชน 30-40 ปี อยู่ในช่วงของการใช้จ่าย เพราะฉะนั้นกำลังซื้อของคนในประเทศยังมีอยู่ ไม่ได้เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นมีมีประชากรสูงอายุ
ขณะที่ “หุ้นลาตินอเมริกา” น่าสนใจมากที่สุด เพราะโดนภาษีทรัมป์น้อยมาก ขณะที่ประเทศลาตินอเมริกามีคอมมูนิตี้ค่อนข้างมาก ทำให้ได้ประโยชน์ในช่วงภาษีทรัมป์มาก
ส่วน “ตลาดหุ้นเวียดนาม” มองว่ายังมี “ความเสี่ยง” เพราะมีการพึ่งพาการค้ากับสหรัฐค่อนข้างสูง แม้ว่าจะมีการเจรจากลับมาแล้ว แต่ทว่าอาจได้ดีลกลับมาไม่ดี ส่วน “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่มีผลกับธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลก และเงินจะไหลเข้า “เงินเยน” มากขึ้น จากการขาย “ดอลลาร์ พันธบัตรสหรัฐ และหุ้นสหรัฐ” ทำให้เงินไหลออก เพราะฉะนั้นเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น เช่นกัน เพราะหลายเซกเตอร์ที่ส่งออกทั้งอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ แต่ถ้าเทียบกับเวียดนามตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังดูดีกว่า
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บลจ. อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลต่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า ประเทศอินเดียจะมีการกระตุ้นนโยบายการเงิน และการคลังที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอินเดียเป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปเจรจาการค้ากับสหรัฐ ทำให้ “หุ้นอินเดีย” มีโมเมนตัมที่ดี บวกกับราคาหุ้นอินเดียปรับตัวลงมาในระดับที่ “น่าสนใจ” แม้ว่าที่ผ่านมา Valuation ของหุ้นอินเดียจะค่อนข้างแพงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ แต่ในรอบนี้ Valuation ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ +0.2SD. ขณะที่ P/E อยู่ที่ 22 เท่า และหากดูตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ผลตอบแทนออกมาเป็นบวกได้ จึงเป็นมองว่าหุ้นอินเดีย Outperform
นอกจากนี้ ประเทศอินเดียมีความแตกต่างจากประเทศในฝั่งประเทศกลุ่มอาเซียนหลายประเทศ อย่าง ไทย เวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย ถูกมองว่าเป็นประเทศบายพาสของจีน แต่ประเทศอินเดียไม่มีภาพดังกล่าว จึงทำให้อินเดียไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าใด
ส่วน “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” มีความคล้ายกับ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ตรงที่มีการรีบเข้าไปเจรจาภาษีกับสหรัฐ เพราะฉะนั้นในกลุ่ม TIER 1 ที่มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นประเทศแรก ๆ โดยรัฐมนตรีของญี่ปุ่นมีการต่อสายตรงกับสหรัฐ จึงทำให้เกิดโมเมนตัมในตลาดหุ้นที่สามารถเข้าไปเทรดได้ในระยะสั้น ๆ และเรามองหุ้นญี่ปุ่นเป็น Neutral เพราะในระยะยาวยังไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าภาษีเฉพาะด้านในกลุ่มอุตสาหกรรมใดที่จะถูกปรับขึ้นมา เพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศญี่ปุ่นยังคงมีภาพของการส่งออกค่อนข้างมาก และค่าเงินเยนค่อนข้างแข็งกระทบภาคของ “การส่งออก” แต่ในระยะสั้น สามารถเทรดได้
“วิศกรณ์ คีรีวรรณ”, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย มีมุมมองว่า ในระยะกลางในรอบ 12 เดือนขึ้นไป ตลาดหุ้นที่เป็นท็อปพิกคือ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” แม้ว่าหลายคนกำลังกลัวภาษี Tariff แต่ทว่าญี่ปุ่นมีความพร้อมในการเจรจา ซึ่ง ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้เป็น TIER 1 ที่สหรัฐให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นฐานการผลิต เบื้องต้นญี่ปุ่นจึงมองเป็น Overweight
ขณะที่ “ตลาดหุ้นสหรัฐ” มองเป็น Neutral แต่ทว่าวิธีการลงทุนในขณะนี้นักลงทุนอาจจะยังไม่ต้องรีบ ในลักษณะของพอร์ต 12 เดือน ควรเป็นแบบเลือกซื้อเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มการเงินสหรัฐที่งบออกมากำไรเติบโตดีกว่าคาดเกือบทุกทั้งกลุ่ม โดยเมื่อเข้าไปดูข้อมูลมีการปรับค่าตั้งสำรองมีการขยับขึ้น ซึ่งผู้บริหารมองว่า หากมี Outlook ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะมีการตั้งสำรองเผื่อไว้ก่อน โดยที่คนยังไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ จึงมองเป็น Selective Buy
ส่วน “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” มองว่า ควรรอให้มีการรายงานในช่วง 1-2 เดือน ปัจจุบันมีเพียง ASML ออกมายังไม่ได้ดีมาก หรือไม่ต่างจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ TSMC งบออกมาดีมาก แต่ราคายังไม่ขึ้น จึงเป็นสัญญาณว่า Valuation ปรับลงมา ขณะที่ Earning ก็ดี แต่ทว่ายังไม่มีจังหวะในการลงทุน จึงแนะนำให้รองบประกาศออกมาให้หมดเสียก่อน จึงอาจจะมีปรับคำแนะนำอีกครั้ง