‘กูรู’ คาดหุ้นไทยครึ่งหลังซึม ‘ดร.นิเวศน์’ ชี้ดัชนียังเผชิญผันผวนยก ‘ปันผล-พื้นฐานแกร่ง’

“กูรู” ประสานเสียง “ตลาดหุ้นไทย” ครึ่งปีหลังยังซึม “ดร.นิเวศน์” แนะหุ้นแกร่งปันผลสูง ยกให้ “กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์-เซมิคอนดักเตอร์” ดาวรุ่ง รับเมกะเทรนด์โลก “ทิวา” ชี้ชอบ “หุ้นจีนกับหุ้นไทย” เหตุราคายังไม่แพง “บลจ. เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์” ยังไม่แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย
ก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังปี 2568 “เศรษฐกิจไทย” ยังอยู่ท่ามกลางความเปราะบาง ทั้งจากปัจจัยภายใน และนอก โดย “กูรู” มองตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน ดังนั้น แนะเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถจ่ายปันผลได้สูง ยกมองกลุ่มหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์มีอนาคต และหุ้นต่างประเทศ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง หลายปัจจัยสำคัญยังไม่คลี่คลาย ทำให้ยากจะคาดการณ์ทิศทางที่ชัดเจน และยังไม่เห็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจมีความสับสน แม้แต่หน่วยงานที่มีชื่อเสียงในอดีตก็ยังมีความเห็นที่ “แตกต่างกันมาก” เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองเศรษฐกิจจะดี ขณะที่บางหน่วยงานกลับมองว่าไม่ดี รวมถึงอัตราดอกเบี้ย และตลาดหุ้น
สำหรับ สิ่งที่ยังมีความกังวลต่อภาพใหญ่ในระยะยาวที่ประชากรศาสตร์มีอัตราการเกิดยังคงลดลง และไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังขาดการปฏิรูปโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สำคัญ เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ การลดจำนวนกระทรวง จังหวัด หรือการปรับปรุงระบบการเรียนการสอน ซึ่งประเทศอย่างเวียดนามเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังแล้ว การที่รัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปเหล่านี้ได้ เป็นเพราะเผชิญกับอุปสรรคทางการเมือง และข้อเรียกร้องต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้โดยสรุปแล้วยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน
โดยในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ควรเน้นการลงทุนที่ยังคงคุ้มค่า เน้นหุ้นที่มั่นคง และแข็งแกร่งในตลาด เลือกหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดี ธุรกิจไม่ถูกรบกวนได้ง่าย และมีศักยภาพในการเติบโต และมองหาหุ้นที่จ่ายปันผลได้ดีเกิน 5% และควรเป็นหุ้นที่มีราคาเหมาะสม
นายทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความชื่นชอบกับ “หุ้นจีนกับหุ้นไทย” เป็นพิเศษ เนื่องจาก Valuation ของทั้ง 2 ตลาดยังไม่แพง และผลตอบแทนยังดี แม้หุ้นไทยในปีนี้มีผลงานที่ไม่ดี “ติดลบ” กว่า 20% ขณะที่ตลาดหุ้นจีนกลับบวกมาถึง 20% ด้วยเหตุนี้ การจัดสรรพอร์ตส่วนตัวที่เดิมตั้งใจแบ่งครึ่งระหว่างจีนและไทย จึงถูกปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในไทยลดลงเหลือประมาณ 30%
ทั้งนี้ การลงทุนควรเลือกตลาดที่เข้าใจดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการหลงทางในการลงทุน และเพื่อลดความเสี่ยงในตลาดที่ไม่เข้าใจ สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลก และธีมลงทุน มองว่าโลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไม่รุนแรงเหมือนในอดีตเนื่องจากประชากรโลกในประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเกิดที่น้อยลง ซึ่งส่งผลให้ความต้องการไม่ได้เร่งตัวขึ้น ขณะที่กำลังผลิตยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจีนสิ่งที่ตามมาคือ ผู้คนจะประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และรายได้เติบโตไม่ทันหนี้สิน
โดยธีมธุรกิจที่จะเลือกเข้าไปลงทุนในช่วงนี้จะเน้นในกลุ่มธุรกิจที่สามารถผลิตสินค้าได้ด้วยโครงสร้างต้นทุนที่ถูกกว่าคู่แข่ง ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้นที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ กลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ที่ต้องระมัดระวังในช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน เมื่อศาลสั่งให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และมีรักษาการรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีอำนาจเสมือนนายกรัฐมนตรี แต่มองการยุบสภาในช่วงนี้ ไม่น่าจะเป็นผลดี เนื่องจากอาจทำให้แพ้การเลือกตั้ง และงบประมาณปี 2569 ก็จะแท้งไปด้วย
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหากยังมีการปิดพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา การค้าขายที่มีมูลค่าเป็นแสนล้านบาทต่อปีก็จะหายไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน ส่วนปัจจัยบวกที่อาจเป็นตัวช่วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กระแสการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มที่ชัดเจน และแรงขึ้น
สำหรับการปรับพอร์ตในช่วงครึ่งปีหลัง แนะอย่าเพิ่งเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากความเสี่ยงจากการค้าขายที่ไม่เป็นไปตามคาด ปัญหาการเมือง ความกังวลเรื่องการยุบสภาก่อนที่งบปี 2569 ล้วนสามารถทำให้หุ้นไทยปรับตัวลงได้ แต่ให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐ ยุโรป และกลุ่มตลาดเกิดใหม่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์