"โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง" หมอยืนยัน รักษาให้ถูกจุด หยุดความเสี่ยงได้
"โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง" ไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่สามารถใช้สเตียรอยด์รักษาให้หายขาดได้ โรคนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบของผิวหนัง และอาการระคายเคือง
ว่ากันว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) เป็นเสมือนปราการด่านแรกในการนำไปสู่โรคภูมิแพ้ชนิดอื่น ๆ จากข้อมูลกว่า 50% พบเกิดอาการร่วมกับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ จาม น้ำมูก คัน คัดจมูก โรคหอบหืด รวมถึงการแพ้อาหาร
ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่อยู่ในระดับที่รุนแรงไม่น้อยกว่า 5% หรือประมาณ 500,000 ราย จากประชากรที่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งมีอยู่กว่า10 ล้านคน หรือ15%ของประชากรไทย
"มีความเข้าใจผิดว่าโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคติดต่อกันได้ ทำให้ผู้ป่วยโดนรังเกียจจากสังคม หรือมีความเข้าใจผิดว่าการอาบน้ำช่วยบรรเทาอาการคันหรือระคายเคือง หรือการงดเว้นอาหารบางประเภทจะทำให้อาการต่าง ๆ หายขาด
นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดว่า หากใช้สเตียรอยด์แล้วจะหาย ซึ่งสเตียรอยด์เป็นยาต้านการอักเสบ ช่วยเฉพาะผิวภายนอก ไม่ได้ช่วยการอักเสบข้างในหรือไม่ได้ช่วยรักษาจากสาเหตุของเซลล์หรือยีนที่ผิดปกติ
หากใช้สเตียรอยด์ไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดการดื้อยา และได้รับผลข้างเคียง ทำให้ผิวหนังบางลงและดูดซึมเข้าร่างกาย ส่งผลต่อการเจริญเติบโตอีกด้วย"
ความจริงเรื่องผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ในความเป็นจริงโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่เกิดจากปัจจัยหลักสำคัญ 2ประการ คือ
-ปัจจัยภายใน คือ พันธุกรรม หรือมีประวัติครอบครัวเป็นภูมิแพ้หรือภูมิแพ้ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน
-ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สิ่งกระตุ้น เช่น มลพิษต่าง ๆ อาทิ แสงแดด สภาพแวดล้อม รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น
คุณหมออรพรรณบอกว่า ปัจจัยภายนอกมีผลมากกว่าปัจจัยภายใน เพราะอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง หรือการอักเสบของผิวหนัง
"ยิ่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัจจัยกระตุ้นทั้งจากมลภาวะเป็นพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งล้วนมีผลกระตุ้นทำให้ชั้นผิวหนังถูกทำลาย ส่งผลให้คนไทยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า ประชากรไทย 50% จะเป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ซึ่งกว่า 50% มักพบว่าเป็นร่วมกันทั้งสองโรค"
การสังเกตอาการเบื้องต้น
ทั้งนี้วิธีการสังเกตอาการเบื้องต้นที่ควรมาพบแพทย์ คือ
- มีอาการคันจนรบกวนการนอน รบกวนการใช้ชีวิต
- มีอาการคันหรือเป็นผื่นเรื้อรัง เกิน 6 เดือน
- มีอาการเกิดขึ้นเกิน 2 ตำแหน่งและกลับมาเป็นอยู่เรื่อย ๆ
- อีกหนึ่งจุดสังเกตคือ มีอาการเห็นเด่นชัดบริเวณใบหน้า
วิธีการรักษาภูมิแพ้
คุณหมออรพรรณ กล่าวถึงวิธีการรักษาภูมิแพ้ ต้องเริ่มจากการรักษาที่เกราะป้องกันตัวเราก่อน คือผิวหนัง
“เราสามารถแพ้อาหารทางผิวหนังได้ เช่น แพ้ถั่ว โดยไม่จำเป็นต้องกินก็แพ้ได้ด้วยการสัมผัสบ่อย ๆ ปัจจุบัน ถ้าเด็กเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ก็จะแพ้อาหาร แพ้พวกไรฝุ่น หรือขนสัตว์ที่เกิดจากการสัมผัส ไม่ได้เข้าระบบทางเดินหายใจ”
บรรดาโรคภูมิแพ้ทั้งหมด ‘โรคภูมิแพ้ผิวหนัง’ ถือเป็นโรคที่มีผลกระทบในวงกว้าง เพราะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ชนิดอื่นได้
และสิ่งที่น่าวิตก คือ คนไทยประมาณ5% ที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ในระดับที่รุนแรงกลับถูกมองข้าม เพราะคิดว่าโรคนี้ไม่ได้ทำให้เสียชีวิต แต่ทว่าโรคนี้ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
“ผู้ป่วยจะมีอาการคันตลอด นอนไม่ได้ ติดเชื้อง่าย ไม่เพียงแค่ผลกระทบทางร่างกาย ความเข้าใจผิด ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สูญเสียความมั่นใจ อาย เกิดความเครียดสะสมและก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่คิดฆ่าตัวตาย" ศ.ดร.พญ.อรพรรณ กล่าวและเล่าถึงอุปสรรคในการเข้าถึงกลุ่มยาชีววัตถุว่า
ในปัจจุบันยังมีผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยยาชีววัตถุ เนื่องจากยากลุ่มนี้ยังไม่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และยังไม่มีระบบสำหรับการเบิกจ่ายค่ารักษาของยากลุ่มนี้
"เพราะเป็นยาที่มีราคาค่อนข้างสูงและเป็นนวัตกรรมใหม่หรือที่เรียกว่า การรักษาแบบพุ่งเป้า (Targeted Therapy) ซึ่งเป็นการรักษาตรงจุด ช่วยลดการอักเสบเฉพาะเซลล์ที่บกพร่อง และทำให้โรคสงบ ช่วยลดการเห่อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถมีเวลาฟื้นฟูผิว อาบน้ำ ทาครีมดูแล แต่ถ้าโรคไม่สงบ ผิวหนังถูกกระตุ้นเรื่อย ๆ จากการเกา เกิดการอักเสบและเห่อขึ้นอีก ซึ่งจะวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ "
โดยหลักการการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คือ ต้องให้โรคสงบก่อน และรีบฟื้นฟูผิว รวมถึงต้องเลี่ยงไม่ให้เจอปัจจัยกระตุ้น
ต้องปรับการใช้ชีวิตแบบองค์รวม 4 อย่างคือ
1. Environment สภาพแวดล้อม หลีกเลี่ยงพวกไรฝุ่น หรือมลภาวะเป็นพิษหรือตัวกระตุ้นทั้งในบ้านและนอกบ้าน
2. Emotion พยายามไม่เครียด เพราะมีผลทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และโรคภูมิแพ้กำเริบ
3. Exercise การออกกำลังกาย จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ก็ต้องมีลักษณะพิเศษคือควรอยู่ในห้องแอร์ ออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ร้อน ไม่ให้เหงื่อออก หรือหากว่ายน้ำ ก็ต้องเป็นระบบน้ำเกลือ ควรหลีกเลี่ยงคลอรีน เป็นต้น และ
4. Eating-การกินอาหารที่มีประโยชน์ ควรกินผักผลไม้ในปริมาณที่สมดุลกับหมวดหมู่อื่นๆ และเสริมวิตามินดี เพื่อช่วยป้องกันเรื่องภูมิแพ้