อาการไอแบบไหน ป่วยเป็น"โควิด" :ไอแห้งๆ ไอมีเสมหะ ไอเสียงก้อง
ลองสังเกตตัวเองว่า เวลาเกิดอาการไอ คุณไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ หรือไอมีเสมหะ แล้วยังมีไอเสียงก้องอีก อาการไอแต่ละแบบ มาจากระบบทางเดินหายใจ แต่ป่วยเป็นโรคต่างกัน
ไอ เป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ โดยเป็นกลไกในการกำจัดเชื้อโรค เสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมในระบบทางเดินหายใจ
แพทย์หญิงพวงรัตน์ ตั้งธิติกุล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบหายใจและภาวะวิกฤตระบบการหายใจ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนวเวช อธิบายลักษณะของการไอเอาไว้อย่างละเอียด และครบรอบด้าน สำหรับนำไปสังเกตตนเองและคนรอบข้าง หากมีอาการไอจนผิดปกติจะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างทันท่วงที
ลักษณะการไอ
ลักษณะของเสียงไอ สามารถแบ่งจำแนกตามรูปแบบต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ เช่น
ไอมีเสมหะ พบในภาวะติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน โรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง อันเป็นผลจากการที่ร่างกายมีการขับสารเมือก หรือสารคัดหลั่งออกมาในระบบหายใจ จนทำให้เกิดอาการไอร่วมกับมีเสมหะ
ไอแห้ง เกิดจากการระคายคอ หรือระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง จนกระตุ้นให้เกิดการไอ โดยไม่มีเสมหะปน สาเหตุที่พบได้ เช่น ภาวะกรดไหลย้อน โรคหลอดลมอักเสบ ยาลดความดันโลหิตกลุ่มของ ACEi Inhibitor และเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนไข้ COVID-19
ไอเสียงก้อง พบในเด็ก เกิดจากการบวมของระบบทางเดินหายใจส่วนบนบริเวณกล่องเสียง และหลอดลม หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า ‘ครูป’ (Croup) คนไข้อาจมีอาการหายใจลำบาก เสียงแห้ง หายใจมีเสียง มีไข้ ร่วมกับอาการไอเสียงก้อง
อาการไอที่พบเวลากลางคืน
เป็นผลจากการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจที่ถูกกระตุ้นในช่วงกลางคืน อาจสัมพันธ์กับท่าทาง เช่น เสมหะไหลลงคอขณะนอน ที่พบได้ในโรคไซนัสอักเสบ โรคภูมิแพ้ อีกทั้งอากาศเย็น หรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของหลอดลม ส่งผลให้ไอมากขึ้น โดยเฉพาะคนไข้โรคหืด
ระยะเวลาของอาการไอ
1. ไอเฉียบพลัน คือ อาการไอที่น้อยกว่า 3 สัปดาห์
2. ไอกึ่งเฉียบพลัน คือ อาการไอตั้งแต่ 3 – 8 สัปดาห์
3. ไอเรื้อรัง คือ อาการไอต่อเนื่องที่มากกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป
อาการไอที่ควรพบแพทย์
แนะนำให้มาพบแพทย์ กรณีที่อาการไอเป็นลักษณะไอเรื้อรัง หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วม เช่น ไอเสมหะปนเลือด เสียงแหบ มีไข้ น้ำหนักลด หอบเหนื่อย ปอดอักเสบติดเชื้อบ่อย ๆ กลืนเจ็บ กลืนลำบาก สำลัก ทั้งนี้ เพื่อการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสม
แนวทางการรักษา
เนื่องจากอาการไอเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น การรักษาจำเป็นที่จะต้องทำการตรวจวินิจฉัยถึงสาเหตุของอาการไอ และให้การรักษาตามสาเหตุนั้น ๆ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเอง ก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาอาการไอได้มาก โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการไอ
ยกตัวอย่างเช่น สารก่อการระคายเคือง ฝุ่น สารเคมี ควันบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมโดยตรง
เนื่องจากอากาศเย็นจะกระตุ้นหลอดลมให้เกิดการหดตัว ควรทำให้ร่างกายอบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ กรณีที่สูบบุหรี่ ควรงดการสูบบุหรี่