"แซลมอน" และ "ทูน่า" แม้จะดีต่อสุขภาพเหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างที่ต้องรู้!
ทาสรักปลาดิบต้องรู้! แม้ว่า "แซลมอน" และ "ทูน่า" จะเป็นเนื้อปลาที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งคู่ แต่รู้หรือไม่? มีข้อแตกต่างบางประการที่คนชอบกินปลาควรศึกษารายละเอียดให้ดี ก่อนเลือกรับประทานให้เหมาะสมกับตนเอง
หนึ่งในอาหารสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก คือ "อาหารเมดิเตอร์เรเนียน" โดยเป็นอาหารสุขภาพที่เน้นผัก ชีส น้ำมันมะกอก และเนื้อปลาหรือซีฟู้ดเป็นหลัก (ไม่มีเนื้อสัตว์ใหญ่) ซึ่งเนื้อปลาที่ได้รับความนิยมก็หนีไม่พ้น “แซลมอน” และ “ทูน่า”
ตามรายงานของ Novant Health ศูนย์ดูแลสุขภาพชั้นนำในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การรับประทาน “แซลมอน” และ “ทูน่า” ซึ่งเป็นปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (ไขมันดี) เป็นแหล่งโปรตีน และสารอาหารที่ดีเยี่ยม โดยมีคำแนะนำให้บริโภคเป็นประจำ เพื่อส่งเสริมสุขภาพของหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
ในปัจจุบันชาวอเมริกันมีการบริโภค “แซลมอน” และ “ทูน่า” จำนวนมาก โดยมีข้อมูลจาก National Geographic รายงานว่า แต่ละปีคนอเมริกันบริโภคปลาทูน่ามากกว่า 1 พันล้านปอนด์ทุกปี และปลาแซลมอนลดลงเพียง 900 ล้านปอนด์ทุกปี อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างปลาสองตัวนี้ที่คนรักการกินปลาต้องรู้!
1. ให้ปริมาณโปรตีนแตกต่างกัน
แม้ว่าปลาทั้งสองชนิดนี้จะมีประโยชน์ทางโภชนาการมากพอๆ กัน โดยเฉพาะการเป็นแหล่งของโปรตีนสูง แต่ทั้งนี้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่า สำหรับปลาแซลมอน 100 กรัม จะมีปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 20-21 กรัม ส่วนปลาทูน่า 100 กรัม จะให้ปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 21-24 กรัม
2. ให้ปริมาณไขมันดีแตกต่างกัน
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างคุณค่าทางโภชนาการของปลาทั้งสองชนิด ก็คือ ปริมาณไขมันดี โดยพบว่า “แซลมอน” เป็นเนื้อปลาที่มีไขมันดีมากกว่า “ทูน่า” บางคนอาจจะไม่ชอบไขมันเยอะๆ ที่แทรกในเนื้อปลาแซลมอนเพราะกลัวอ้วน แต่อย่าเข้าใจผิด! เนื่องจากไขมันของปลาแซลมอนมาจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นไขมันดีที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดให้ดีขึ้นได้
3. รสชาติแตกต่างกัน
ปลาทั้งสองมีรสชาติที่ค่อนข้างจะคล้ายกันแต่แตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับปลาทูน่านั้นมักจะมีรสเค็มเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่แซลมอนจะมีความมันและเนื้อสัมผัสที่นุ่ม นอกจากนี้ปลาทูน่ามีไขมันน้อยกว่าปลาแซลมอนมาก เวลานำไปปรุงอาหารจึงมักจะแห้งและสุกง่ายเกินไป ในทางกลับกัน แซลมอนจะมีไขมันเยอะกว่าและปรุงให้สุกยากกว่า แต่ก็ให้สัมผัสที่นุ่มอร่อยกว่า
4. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกัน
อีกหนึ่งความแตกต่างของปลาทั้งสองชนิดนี้ก็คือ สารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่าง ซีลีเนียม โพแทสเซียม วิตามินเอ วิตามินบี โดยเฉพาะ “ซีลีเนียม” ที่มีส่วนช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบในร่างกาย ต้านการผิดปกติของเซลล์ มีข้อมูลพบว่าปลาทูน่ามีสารซีลีเนียมมากกว่าปลาแซลมอน
5. มีปริมาณปรอทสะสมแตกต่างกัน (มีคำแนะนำให้จำกัดการบริโภค)
ข้อเสียของทูน่าคือ เป็นปลาขนาดใหญ่ในระบบนิเวศ จึงทำให้มีการสะสมสารปรอทอยู่ในระดับสูงกว่าแซลมอน ซึ่งหมายความว่าควรบริโภคเท่าที่จำเป็น/จำกัดปริมาณการกิน เพื่อป้องกันการสะสมสารปรอทในร่างกาย อีกทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ ระบุด้วยว่า กลุ่มเด็กและสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาทูน่า
6. ราคาของปลาทั้งสองชนิดในสหรัฐอเมริกา
ปลาแซลมอนสหรัฐมีราคาระหว่าง 2.34 ถึง 2.68 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ ณ ปี 2022 ส่วนปลาทูน่าถือว่ามีราคาถูกกว่าเล็กน้อย คือมีราคาระหว่าง 2.24 ถึง 2.28 เหรียญสหรัฐต่อปอนด์ ในปี 2022
7. ราคาของปลาทั้งสองชนิดในไทย
สำหรับปลาแซลมอนในไทยสำรวจราคาจาก Priceza พบว่าราคาอยู่ที่ 1,200 - 1,700 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาปลาทูน่าในไทยสำรวจราคาจาก Biggo พบว่าราคาอยู่ที่ 700 - 1,100 บาทต่อกิโลกรัม
-------------------------------------------
อ้างอิง : tastingtable, tastylicious, fda.gov/food, calforlife, priceza, biggo