แพทย์เตือนเร่งฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หนึ่งในเกราะป้องกัน"ปอดอักเสบ"
แม้"ปอดอักเสบ" จะป้องกันได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แพทย์แนะว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หนึ่งในเกราะป้องกันปอดอักเสบ จึงอยากให้เร่งฉีดวัคซีน ซึ่งมีตัวอย่างจากวัคซีนโควิด ทำให้คนเสียชีวิตน้อยลง
ปอดอักเสบ ถือเป็นโรคติดเชื้อที่มีอุบัติการณ์การเสียชีวิตทั่วโลกกว่า 2.5 ล้านคนในปี 2562 โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กกว่า 672,000 คน และในสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 ล้านคนในปี 2563 รวมเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นกว่า 4 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งสูงกว่าจำนวนการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้ออื่นๆ
ศ. นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร อาจารย์ประจำหน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายวิจัยและบริการคลินิก สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อหลักๆ ในปัจจุบันที่จะนำไปสู่ภาวะของโรคปอดอักเสบหรือ โรคปอดบวม
“โรคปอดอักเสบ หมายถึงการอักเสบที่เนื้อปอด ประกอบด้วยถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ปอดทำหน้าที่ได้น้อยลง เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้”
ปอดอักเสบเกิดจากติดเชื้อ
สาเหตุของปอดอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ โดยหลักๆ เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียซึ่ง เชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย มีอยู่ 3 ตัวหลักๆ ได้แก่
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus)
- ไวรัสโควิด-19 (Coronavirus;SAR CoV-2)
- ไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus – RSV)
ส่วนเชื้อแบคทีเรียพบได้บ่อย คือ นิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoneae) ขณะที่ปอดอักเสบจากเชื้อรายังพบได้น้อยและมักจะเกิดในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือได้รับยาเคมีบำบัด เป็นต้น
ปอดอักเสบนับเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปและทุกวัย และเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในกลุ่มเสี่ยงประมาณร้อยละ 8-10 ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉียบพลันทางระบบหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
กลุ่มเสี่ยงของโรคปอดอักเสบ ได้แก่
- เด็กเล็ก
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ฯลฯ
ศ. นพ. ธีระพงษ์ กล่าวเสริมว่า ผู้ป่วยปอดอักเสบ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มมีอาการจากการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบนก่อน เช่น เจ็บคอ มีน้ำมูก แล้วถึงมีอาการไอและหายใจหอบตามมา ซึ่งเกิดได้จากโรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19 หรือ โรคRSV
อาการโรคปอดอักเสบ คือ มีไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหอบเหนื่อย โดยผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุ เช่น
- โรค RSV ถือเป็นปัญหาหลักและมีความรุนแรงในกลุ่มเด็กเล็ก และจากผลการวิจัยปัจจุบันพบว่า RSV ก็เป็นปัญหาสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะต้องนอนโรงพยาบาลและมีโอกาสเสียชีวิตด้วย
-ไข้หวัดใหญ่ พบได้ในทุกอายุ พบบ่อยในเด็กแต่จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าในผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีโรคประจำตัว สำหรับโควิด-19 พบได้ทุกอายุ แต่เด็กจะไม่ค่อยมีอาการและยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นปอดอักเสบน้อยกว่าผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง
ขณะที่เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส มักจะทำให้เกิดปอดอักเสบที่รุนแรงในผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่มีโรคประจำตัว รวมถึงกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
เชื้อที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบ
เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบยังคงมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ตัวหลักๆ ได้แก่
- ไข้หวัดใหญ่
- โควิด-19
- อาร์เอสวี
- นิวโมคอคคัส
ทำให้ยิ่งมีโอกาสแพร่กระจายจากคนสู่คนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในฤดูหนาวปลายปีนี้ รวมถึงเดือนมกราคม – มีนาคม และฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม – ตุลาคมปีหน้า ซึ่งมีความเสี่ยงที่ผู้ป่วยปอดอักเสบจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น
เนื่องจากพบว่าร้อยละ 10-30 ของผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบจะมีการติดเชื้อร่วมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปได้ และมีความเสี่ยงที่จะเชื้อลงปอดอาการหนักจนต้องเข้ารักษาในไอซียูในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แนวทางป้องกันปอดอักเสบ
สำหรับแนวทางป้องกันโรคปอดอักเสบที่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากที่สุด คือ การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบ ซึ่งประกอบด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโควิด-19 และวัคซีนนิวโมคอคคัส ขณะที่ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีน RSV แต่คาดว่าจะมีในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
โดยวัคซีนในกลุ่มดังกล่าวนี้ มีความสำคัญอย่างมากสำหรับกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะมีปอดอักเสบรุนแรง ได้แก่ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ, ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง โรคไตวาย โรคตับวาย โรคพิษสุราเรื้อรัง
รวมถึงกลุ่มที่ได้รับยาภูมิคุ้มกัน เช่น ยารักษามะเร็ง ยารักษาโรคภูมิคุ้มกันตัวเอง เป็นต้น เพราะวัคซีนในกลุ่มนี้จะช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบและลดความรุนแรงของโรคได้
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว อาจจะมองว่าไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่และอาจส่งผลกระทบตามมา โดยควรจะคำนึงถึงคุณค่าของการฉีดวัคซีน หรือฉีดเพื่อบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น
- ฉีดเพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อให้คนรอบข้าง คนในครอบครัวที่อาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
- ฉีดเพื่อลดการป่วยที่รุนแรง
- ฉีดเพื่อลดการสูญเสียที่มองไม่เห็น (indirect cost) เช่น หากป่วยก็ต้องนอนพักรักษาตัวหลายวัน ทำให้สูญเสียรายได้จากการทำงาน ซึ่งล้วนเป็นคุณประโยชน์ของการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังสนับสนุนการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค พร้อมระบุว่า ‘วัคซีน’ เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้นและทำให้คนรอดตายมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำสะอาด
ซึ่งพิสูจน์ได้จากโควิด-19 ซึ่งหากในปี 2021 ที่โควิด-19 แพร่ระบาด หากในปีนั้นเราไม่มีวัคซีนโควิด-19 คนทั่วโลกจะเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นถึง 19.6 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านคนทั่วโลก
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกที่สุดในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้แนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำปีทุกปี ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยประชาชนสามารถเข้ารับการฉีดได้ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใกล้บ้านท่าน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงที่จะเกิดปอดอักเสบรุนแรง