ปาฏิหาริย์แห่ง'ปัจจุบันขณะ'
เริ่มต้นปี 2564 กับธรรมะเรียบง่ายและลึกซึ้งของ ท่าน"ติช นัท ฮันห์"
"เราไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าไปในอนาคตเพื่อแสวงหาความสุข เรามีเรื่องมากมายในปัจจุบันที่ทำให้เรามีความสุข”
ก่อนหน้านี้ท่าน ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระในพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน ชาวเวียดนาม วัย 94 ปี เคยพักอยู่ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก ไม่ได้แสดงธรรมที่ประเทศไหนแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเกิดในประเทศเวียดนาม
ท่านเคยวาดลายเส้นง่ายๆ ด้วยปลายพู่กัน เพื่อเป็นการฝึกสมาธิ และเขียนหนังสือ โดยมีผลงานทางธรรมเป็นภาษาต่างๆ กว่า 600 เล่ม 30 ภาษา
สาเหตุที่คำสอนของท่าน มีคนศรัทธามากมาย เพราะมีความเรียบง่ายและลึกซึ้ง สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
และนี่คือ ปาฐกถาธรรม ปาฏิหาริย์แห่งปัจจุบันขณะ ช่วงที่ท่านติช นัท ฮันห์ เคยเดินทางมาเมืองไทย เมื่อหลายปีที่แล้ว
.........................
เบิกบานยามเช้า
เมื่อเราตื่นขึ้น เราควรตระหนักรู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เราเบิกบานกับชีวิตที่ยังมีอยู่ ความสุขก็จะอยู่กับเราทันที ช่วงระหว่างที่เราแปรงฟันสองสามนาที ก็สามารถทำให้เรามีความสุขได้
ทุกครั้งที่แปรงฟัน ฉันมีความสุขมาก เรามีบทกลอนคาถาในระหว่างที่ห่มจีวร ช่วยให้เราตระหนักรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ให้กลับมาดูลมหายใจ
ตามคำสอนเหล่านี้เรามีเงื่อนไขเพียงพอที่จะทำให้เรามีความสุข เราไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าไปในอนาคตเพื่อแสวงหาความสุข เรามีเรื่องมากมายในปัจจุบันที่ทำให้เรามีความสุข
เพราะพวกเราเชื่อว่า ความสุขไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะนี้ เราอยากมีอะไรมากกว่านั้นที่ทำให้เรามีความสุข นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้เราวิ่งตามความอยากต่างๆ เราจึงมีความทุกข์
พระพุทธองค์แนะว่า ให้เราสัมผัสกับความสุขในขณะนั้น ในพระสูตร พระพุทธองค์เขียนไว้ว่า อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ชั่วขณะเดียวที่เรามีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงก็คือ ปัจจุบันขณะ
ที่นี่และเดี๋ยวนี้
พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวถึงนิพพาน ณ ที่นี้และขณะนี้ ถ้าเราสามารถหลุดจากภาวะที่หลงอยู่ในอดีตหรืออนาคต เราก็สัมผัสกับนิพพานได้
แต่พวกเราหลายคนติดยึดกับความเศร้าโศก ความลังเล ความกลัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเรารู้วิธีที่จะฝึกเจริญสติ มีสมาธิ เราสามารถที่จะหลุดจากเรื่องเหล่านี้
ถ้าเรารู้วิธีตามลมหายใจของเราทุกย่างก้าว และรู้วิธีตั้งมั่นในปัจจุบันขณะ เราก็สามารถนำกายและใจของเรากลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยให้เราเป็นอิสระจากความกังวลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นอิสระจากความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นในอดีต
ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ
ถ้าเรารักใครสักคน สิ่งที่เราอยากมอบให้กับคนรัก สิ่งนั้นก็คือ ความสามารถที่จะอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยม เธอไม่สามารถรักใครสักคนได้ ถ้าเธอไม่สามารถอยู่ตรงนั้น เธอต้องนำใจกลับมาหากายของเธอ ณ ที่นี่ ขณะนี้ และมองเข้าไปในตาของคนที่เธอรัก แล้วกล่าวว่า "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ"
ฉันรู้จักเด็กชายคนหนึ่งอายุ 11 ขวบ คุณพ่อของเขาสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูก แต่เด็กชายคนนั้นไม่ต้องการอะไรมาก เขาต้องการเพียงแค่ให้คุณพ่ออยู่ตรงนั้นเพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง ลูกชายและภรรยา
ถ้าชายคนนั้นรู้วิธีที่จะฝึกสติตามลมหายใจ เขาก็จะสามารถมองลงไปในหัวใจลูกชาย แล้วกล่าวว่า ลูกที่รัก พ่ออยู่ตรงนั้นด้วยความสดชื่นสดใสด้วยความรัก
ฟังด้วยความกรุณา
พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องการฟังด้วยความกรุณา จะสามารถเชื่อมให้เราฟื้นฟูการสื่อสารกลับมาใหม่ บางครั้งเราไม่สามารถที่จะสื่อสารกับตัวเราเอง หลายคนพยายามจะวิ่งหนีตัวเอง เพราะเราไม่รู้วิธีกลับมาฟังความทุกข์ในตัวเรา
เมื่อเธอสามารถที่จะสื่อสารกับตัวเธอเองได้ ก็ง่ายที่จะสื่อสารกับคนอื่น เธออาจจะไปหาคนรัก แล้วกล่าวว่า"ที่รัก ฉันต้องการความช่วยเหลือของเธอ ฉันอยากให้เธอเล่าความทุกข์ที่มีอยู่ ฉันไม่อยากทำให้เธอมีความทุกข์ ถ้าเธอไม่ช่วยฉัน แล้วใครจะช่วยฉันได้ ได้โปรดช่วยฉันเถอะ
ขณะฟังสิ่งที่คนๆ นั้นพูด อาจทำให้เธอมีความรู้สึกโกรธ อคติ แต่ถ้าเธอไม่มีความกรุณาก็จะไม่สามารถฟังต่อไปได้ เธอต้องจำอยู่เสมอว่า เธอต้องตามลมหายใจเข้าออก และจำไว้ว่า จุดประสงค์ในการฟัง ก็เพื่อให้คนๆ นั้นได้มีโอกาสพูดออกมา และมีความทุกข์น้อยลง
สิ่งที่คนๆ นั้นพูด อาจมีความคิดเห็นที่ผิด แต่เราตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่ขัดขวางการพูดของคนๆ นั้น เราอาจจะนึกในใจว่า อีกสองสามวันจะกลับไปใหม่ เพื่อให้คนๆ นั้นมีความคิดเห็นที่ถูกต้องมากขึ้น
รักที่แท้
คำสอนในนิกายนี้ จะสอนเรื่องความไม่แบ่งแยกหรืออุเบกขา ความทุกข์ของเขาก็คือความทุกข์ของเธอ ความสุขของเธอก็คือความสุขของเขา รักที่แท้นั้นไม่มีความทุกข์หรือสุขที่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล และนี่คือความหมายของอุเบกขา
พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงปัญญาที่ไม่แบ่งแยก มือขวาของฉันไม่เคยกีดกั้นแบ่งแยกมือซ้ายของฉันเลย มือขวาของฉันเป็นอิสระจากความคิด มือขวาของฉันได้ช่วยฉันเขียนบทกลอน ฉันไม่เคยเขียนบทกลอนด้วยเครื่องพิมพ์ดีดหรือคอมพิวเตอร์ ฉันใช้ปากกาเขียน
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ฉันไม่มีปากกา ฉันต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีดเขียนกลอน และนั่นเป็นครั้งเดียวที่ทั้งมือขวาและมือซ้ายเขียนกลอนด้วยกัน และฉันใช้มือขวาเขียนพู่กันด้วยคำสอน แต่กระนั้นมือขวาของฉันก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเด่นกว่ามือซ้าย มือซ้ายของฉันก็ไม่เคยมีปมด้อย มือทั้งสองของฉันได้ทำงานร่วมกัน
มีอยู่วันหนึ่งฉันพยายามแขวนภาพของฉัน มือซ้ายของฉันถือตะปู มือขวาถือฆ้อง วันนั้นฉันไม่สบาย แทนที่จะตอกตะปู ฉันก็ตอกหัวแม่มือ ในทันทีทันใดนั้นมือขวาของฉันก็วางฆ้องลง และประคับประคองมือซ้ายของฉัน โดยไม่มีความแบ่งแยกเลย เพราะความทุกข์ของมือซ้ายก็คือความทุกข์ของมือขวา และในหัวใจของฉันก็เข้าใจเช่นนั้น
มือซ้ายก็ไม่ได้มีความโกรธ และไม่ได้บอกว่า "มือขวาเธอทำให้ฉันเป็นทุกข์" นั่นคือ เหตุผลที่มือซ้ายและมือขวาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ มือขวาของฉันก็เห็นมือซ้ายที่อยู่ในตัวเขา มือซ้ายของฉันก็เห็นเช่นเดียวกัน
นี่คือ ปัญญาที่ไม่มีการแบ่งแยกหรือการมองแบบสองขั้ว