ถั่งเช่า รักษาโรคไต ได้จริงหรือ?

 ถั่งเช่า รักษาโรคไต ได้จริงหรือ?

ทุกวันนี้ ถั่งเช่า เป็นโฆษณาที่มีปรากฎอยู่มากมาย อีกทั้งดารานักแสดงต่างๆ ก็ออกมาเป็นพรีเซนเตอร์ยืนยันหนักแน่นถึงสรรพคุณที่หลากหลาย แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณได้อ่านประกาศเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 อาจจะทำให้คุณต้องคิดใหม่อีกครั้ง  

 

"สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ สตท. 024/บริหาร/2564 เรื่อง ‘การใช้ถั่งเช่ารักษาโรคไต’ ว่า ปัจจุบันได้มีการโฆษณาถึงสรรพคุณของถั่งเช่าว่าสามารถรักษาโรคไตให้ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นปกติได้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวประชาชนสามารถซื้อหาได้โดยง่าย

 

สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่า จากองค์ความรู้ที่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าถั่งเช่ามีประโยชน์จริงในผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากมีเพียงข้อมูลการศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่ไม่มีหลักฐานการศึกษาที่ดีเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าถั่งเช่ามีประโยชน์กับไตในมนุษย์ และการศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้รายงานอาการไม่พึงประสงค์ของถั่งเช่าอีกด้วย

 

ถั่งเช่าที่มีการศึกษาในมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นถั่งเช่าทิเบต (Cordyceps sinensis) ที่เกิดในธรรมชาติ ซึ่งมีราคาสูงมาก การศึกษาส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลาเพียง 1 - 6 เดือนเท่านั้น จึงไม่สามารถทราบถึงผลดีและผลเสียในระยะยาวได้และยังพบว่า ผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าทิเบตบางส่วนพบมีโลหะหนัก Arsenic ในปริมาณสูง ซึ่งอาจมีผลเสียต่อไตในระยะยาว

 

ในปัจจุบันถั่งเช่าที่ขายอยู่ส่วนใหญ่เป็นถั่งเช่าสีทอง (Cordyceps militaris) ที่ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นในฟาร์มโดยใช้อาหารเลี้ยงแบบต่าง ๆ ทำให้ถั่งเช่าแต่ละชนิดที่ถูกเพาะเลี้ยงในแต่ละวิธี ผลิตสารออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันมากและส่วนใหญ่ยังไม่มีการศึกษาทดลองในมนุษย์

 

การนำมาใช้จึงอาจทำให้เกิดโทษต่อผู้ป่วยโรคไตได้ เนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่สามารถเกิดอันตรายจากการใช้ยาและสารต่าง ๆ ได้ง่าย อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับขนาดที่เหมาะสมของถั่งเช่าในผู้ป่วยโรคไต นอกจากนี้ยังมีอุบัติการณ์ที่แพทย์โรคไตในประเทศไทย พบการเสื่อมของไตภายหลังการรับประทานถั่งเช่าในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังอีกด้วย

 

โดยสรุปสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยจึง ไม่สนับสนุนให้ผู้ป่วยโรคไตรับประทานถั่งเช่า หากต้องการรับประทานต้องแจ้งแก่แพทย์ผู้รักษา และไม่ควรหยุดยาแผนปัจจุบันที่รับประทานอยู่ การรักษาที่ดีที่สุดคือการดูแลปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เพื่อชะลอการเสื่อมของไตให้ช้าที่สุด รวมทั้งหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เกิดความเสี่ยงต่อไตทั้งหมด"